วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ข้อสอบ 30 ข้อ



1.ระบบเครือข่ายแบบไร้สายคือ

ก.Wireless LAN

ข.ISM

ค.helnrich Hertz

ง.OFDM



2..ใครเป็นคนสร้างทฤษฎีแมม่เหล็กไฟฟ้า

ก.เฮนธิคเฮิรตซ์

ข.เจมส์เดิร์กแมกเวลล์

ค.มาโคนี่

ง.มอส เดิกร์


3.จงบอกคำย่อของ Indutrial Sciences Medicine

ก.IMS

ข.SME

ค.MSI

ง.ISM

4. Direct IR และ Diffuse IR เป็นกลไกการส่งแบบใด

ก.คลื่นอินฟาเรต

ข.คลื่นวิทยุ

ค.คลื่นไม่โครเวฟ

ง.ถูกทุกข้

5.โครงสร้างมาตรฐาน IEEE.802.11 ประกอบด้วย

ก. OFDM

ข.DSSS

ค.MACและPHY

ง.DSSSและFHSS

6.ใน MAC layer จะมีโปรโตคอลชื่อว่า

ก.CA/CSMA

ข.CSAM/CA

ค.AP

ง.CSMA/CA

7."Hot spot' ทำหน้าที่อะไร

ก.กระจายสัญญาณคลื่นวิทยุ

ข.เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างระบบเครือข่าย

ค.ตรวจสอบการทำงาน

ง.ถุกทุกข้อ

8.รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายมีกี่ mode

ก.2 mode

ข.3 mode

ค.4 mode

ง.5 mode

9.เทคโนโลยีที่ใช้ใน UALN จากตอนแรกที่ใช้อินฟาเรตในการรับส่งแต่มีข้อจำกัดในระยะทางส่งได้ไม่ไกลตอนมาได้ใช้คลื่นวิทยุในการรับส่งซึ่งมีเทคนิคที่ใช้2ชนิดคืออะไรบ้าง

ก.CSMA/CA และ DSSS

ข.FHSSและSSID

ค.FHSSและDSSS

ง.OFDM และ FHSS

10.การ์ดที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ทั้งครื่งคอมพิวเตอร์แบบ PC และแบบโน๊ตบุ๊ค คือ การ์ดใดบ้าง

ก.PCICard

ข.PCMCISCard

ค.DBUS

ง.ถูกทุกข้อ

11.อุปกรณ์เครือข่ายไร้สายใด ที่ใช้เพิ่มระยะทางละประสิทธิภาพการทำงานของ ACCSS Point

ก.Wireless Signal Borten

ข.Wireless Bradband Router

ค.WirelessBridge

ง.Antenna

12.อุปกรณ์ใดที่ทำหน้าที่ในการต่อเข้าระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านคู่สายโทรศัพท์หรือเคเบิ้ลทีวี

ก.Wireless Signal Borten

ข.Wireless Bradband Router

ค.WirelessBridge

ง.Antenna

13.อุปกรณ์ใดที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต LAN ตั้งแต่ 2 ระบบขึ้นไปเข้าด้วยกัน

ก.Wireless Signal Borten

ข.Wireless Bradband Router

ค.WirelessBridge

ง.Antenna

14.หน้าที่หลักของเสาอากาศคืออะไร

ก.แปลงสัณญาณวิทยุเป้นแม่เหล็กไฟฟ้า

ข.แปลงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นวิทยุ

ค.ถูกทั้ง ก และ ข

ง.ไม่มีข้อถุก

15.เสาอากาศแบบรอบตัวเรียกว่าอะไร

ก.เสาอากาศแบบยากิ

ข.เสาอากาศแบบโคโพส

ค.เสาอากกาศแบบกลิต

ง.ไม่มีข้อใดถูก

16.เสาอากาศแบบทิสทาง อัตราการขยายจะมีค่าเท่าใด

ก.2-12 dBi

ข.6-21dbi

ค.8-32dBi

ง.9-36 dBi

17.ข้อใดคือประโยชน์ของเครือข่ายไร้สาย

ก.เวลาที่ใช้ในการติดตั้งลดลง

ข.ผู้ใช้สมารถใช้งานไฟล์ อุปกรณ์โดยไม่ต้องต่อสาย

ค.การใช้งานจะสะดวกขึ้นในการใช้WRAN

ง.ถูกทุกข้อ

18.สมบัติของคลื่นมี 2 อย่างมีอะไรบ้าง

ก.การสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบน การทะลุผ่านสิ่งกีดขวาง

ข.การสะท้อน การหักเห การแทรกสอด การเลี้ยวเบน

ค.การสะท้อน การหักเห การส่งข้อมูล การเลี้ยวเบน

ง.การส่งข้อมูล การทะลุผ่านสิ่งกีดขวาง การหักเห การเลี้ยวเบน

19.การกระจายของคลื่นวิทยุมีกี่ขั้นตอน

ก 6 ขั้นตอน

ข. 5 ขั้นตอน

ค.4ขั้นตอน

ง.3ขั้นตอน

20.ข้อใดคือการแทรกสอด

ก.Refrecction

ข.Diffrection

ค.Interferce

ง.Pencetration

21.ข้อใดคือการลดทอนของคลื่น

ก.Refrecction

ข.Diffrection

ค.Interferce

ง.Pencetration

22.หน่วยวัดอัตราการลดทอนหรออัตราการขยายของกำลังส่งคืออะไร

ก.dB (Decibel)

ข.dBM(Decibel Milk)

ค.dBi(Decibel Isofropic)

ง.dBd(Decibel Decibel)

23.หน่วยการจัดการเพิ่มกำลังการขยาย อัตราขยายที่เทียบจากสาย Decibel

ก.dB (Decibel)

ข.dBM(Decibel Milk)

ค.dBi(Decibel Isofropic)

ง.dBd(Decibel Decibel

24.จากสมการ EIRP = Powt-ct+c-c+ในสมการคืออะไร

ก.อัตราการขยายในแกน Gainof the antenna(dBi)

ข.ค่า loss ในสายเคเบิ้ล Signsl loss in cabla (dB)

ค.ค่า loss ในสายเคเบิ้ล Power outputn(dBm)

ง.กำลังส่ง EFFeetive Isotropic Radiated Power(dBm)

25.จากสมการที่24EIRP คืออะไร

ก.อัตราการขยายในแกน Gainof the antenna(dBi)

ข.ค่า loss ในสายเคเบิ้ล Signsl loss in cabla (dB)

ค.ค่า loss ในสายเคเบิ้ล Power outputn(dBm)

ง.กำลังส่ง EFFeetive Isotropic Radiated Power(dBm)

26.ถ้าเราใช้เครือข่ายไร้สายที่มีความถี่ 2.4 GHz จะมีอัตราขยายสูงสุดกี่ dBm

ก.25dBm

ข.26dBm

ค.27dBm

ง.28dBm

28าตรบาน IEEE ได้ใช้กลไกเข้าถึงตัวกลางแบบ CSMA/CA พัฒนากลไกการส่งแบบOFDM

ก. IEEE 802.11A

ข.IEEE 802.11b

ค.IEEE 802.11g

ง.IEEE 802.11i

29"rect IR และ Diffuse IR เป็นกลไกแบบใด

ก.คลื่นอินฟาเรต

ข.คลื่นวิทยุ

ค.คลื่นไมโครเวฟ

ง.ถูกทุกข้อ

30.รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายมีกี่ mode

ก. 2 mode

ข.3 mode

ค. 4mode

ง.5mode

1. มาตรฐาน IEEE802.15

มาตรฐาน IEEE 802.15 (IEEE 802.15 Working Group) สำหรับเครื่องข่ายไร้สายส่วนบุคคล หรือดับเบิลยูแพน (WPAN) ซึ่งมีการประชุมกันในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน เครือข่ายไร้สายส่วนบุคคลนี้ หมายถึงเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงสำหรับการสื่อสารระยะสั้น ตัวอย่างเช่น การซิงค์ข้อมูลระหว่างเครื่องพีดีเอกับเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี หรือการเชื่อมต่อทีวีกับเซ็ตท็อปบ็อกซ์ของเคเบิลทีวี เทคโนโลยีที่ได้รับเลือกจะได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “802.15.3a” ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้มหาศาลระดับ 1.39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท) ในปี 2007 ตามการรายงานของซีเน็ตโดยอ้างถึงประมาณการณ์ของบริษัทเอบีไอ (Allied Business Intelligence; ABI) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยตลาดเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่มีความชัดเจนในตัว “802.15.3a” แต่ที่ค่อนข้างแน่นอนแล้วก็คือ เทคโนโลยีที่พัฒนาโดยกองทัพสหรัฐฯชื่อ “อัลตร้าไวด์แบนด์” หรือ “ยูดับเบิลยูบี” (Ultra Wideband; UWB) ซึ่ง 95% ของข้อเสนอที่ยื่นเข้ามาเลือกใช้เทคนิคนี้ ตามคำกล่าวของ เบน แมนนี (Ben Manny) ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีไร้สาย บริษัทอินเทล ผู้ให้การสนับสนุนเทคโนโลยีอัลตร้าไวด์แบนด์กล่าวว่า มันถูกกว่าและกินพลังงานน้อยกว่าบลูทูธ ทั้งยังมีความเร็วสูงกว่าบลูทูธประมาณ 100 เท่า ซึ่งเหมาะสำหรับอุปกรณ์โฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ด้วย บลูทูธ (Bluetooth) คือเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับเครือข่ายไร้สายส่วนบุคคล และเป็นที่ยอมรับของผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือและพีดีเอชั้นนำทั่วโลก รวมถึงบริษัทไมโครซอฟท์ (Microsoft) และบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer) แต่ผู้ไม่เห็นด้วยกับเทคโนโลยีนี้แย้งว่า เพราะอัลตร้าไวด์แบนด์เป็นช่องสัญญาณสื่อสารความถี่กว้าง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อาจไปกวนความถี่ในช่องสัญญาณอื่นที่อยู่ใกล้ๆและกำลังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ไว-ไฟ (Wi-Fi) “สนีคกี้เวฟ” “อัลตร้าไวด์แบนด์” หรือ “สนีคกี้เวฟ” เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นภายในกองทัพสหรัฐฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้สื่อสารระยะสั้นแบบไร้สายและขจัดปัญหาการถูกดักฟัง คลื่นวิทยุส่วนใหญ่จะเป็นคลื่นความถี่ชนิดแนร์โรว์แบนด์ (Narrow Band) ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือที่ใช้ช่องสัญญาณในช่วง 100MHz แต่อัลตร้าไวด์แบนด์จะสูงกว่านั้นหลายสิบหลายพันเท่า บางบริษัทยอมรับว่า อัลตร้าไวด์แบนด์มีช่องสัญญาณที่กว้างมากๆ นั่นเป็นธรรมชาติของมัน หลายรายแก้ไขโดยการซอยช่องความถี่อัลตร้าไวด์แบนด์ออกเป็นช่องสัญญาณเล็กๆซึ่งแต่ละช่องจะมีความถี่ประมาณ 1,000MHz ตัวอย่างเช่น บริษัทเอ็กซ์ตรีมสเปกตรัม (XtremeSpectrum) ที่ซอยช่องสัญญาณอัลตร้าไวด์แบนด์ออกเป็น 2 ช่องสัญญาณย่อย ซึ่งวิธีนี้ได้รับการสนับสนุนจากโมโตโรลา (Motorola) ด้วย ตามการเปิดเผยของตัวแทนจากบริษัทเอ็กซ์ตรีมสเปกตรัม ขณะที่บริษัทอื่น เช่น อินเทลซอยออกเป็น 14 ช่องสัญญาณ


2.มาตรฐานIEEE.802.11

มาตรฐาน IEEE 802.11 ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2540 โดย IEEE (The Institute of Electronics and Electrical Engineers) และเป็นเทคโนโลยีสำหรับ WLAN ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด คือข้อกำหนด (Specfication) สำหรับอุปกรณ์ WLAN ในส่วนของ Physical (PHY) Layer และ Media Access Control (MAC) Layer โดยในส่วนของ PHY Layer มาตรฐาน IEEE 802.11 ได้กำหนดให้อุปกรณ์มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 1, 2, 5.5, 11 และ 54 Mbps โดยมีสื่อ 3 ประเภทให้เลือกใช้ได้แก่ คลื่นวิทยุที่ความถี่สาธารณะ 2.4 และ 5 GHz, และ อินฟราเรด (Infarred) (1 และ 2 Mbps เท่านั้น) สำหรับในส่วนของ MAC Layer มาตรฐาน IEEE 802.11 ได้กำหนดให้มีกลไกการทำงานที่เรียกว่า CSMA/CA (Carrier Sense Multiple Access/Collision Avoidance) ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับหลักการ CSMA/CD (Collision Detection) ของมาตรฐาน IEEE 802.3 Ethernet ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปในเครือข่าย LAN แบบใช้สายนำสัญญาณ นอกจากนี้ในมาตรฐาน IEEE802.11 ยังกำหนดให้มีทางเลือกสำหรับสร้างความปลอดภัยให้กับเครือข่าย IEEE 802.11 WLAN โดยกลไกการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) และการตรวจสอบผู้ใช้ (Authentication) ที่มีชื่อเรียกว่า WEP (Wired Equivalent Privacy) ด้วย


วิวัฒนาการของมาตรฐาน IEEE 802.11

มาตรฐาน IEEE 802.11 ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งอุปกรณ์ตามมาตรฐานดังกล่าวจะมีความสามารถในการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 1 และ 2 Mbps ด้วยสื่อ อินฟราเรด (Infarred) หรือคลื่นวิทยุที่ความถี่ 2.4 GHz และมีกลไก WEP ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับสร้างความปลอดภัยให้กับเครือข่าย WLAN ได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากมาตรฐาน IEEE 802.11 เวอร์ชันแรกเริ่มมีประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำและไม่มีการรองรับหลักการ Quality of Service (QoS) ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด อีกทั้งกลไกรักษาความปลอดภัยที่ใช้ยังมีช่องโหว่อยู่มาก IEEE จึงได้จัดตั้งคณะทำงาน (Task Group) ขึ้นมาหลายชุดด้วยกันเพื่อทำการปรับปรุงเพิ่มเติมมาตรฐานให้มีศักยภาพสูงขึ้น โดยคณะทำงานกลุ่มที่มีผลงานที่น่าสนใจและเป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ IEEE 802.11a, IEEE 802.11b, IEEE 802.11e, IEEE 802.11g, และ IEEE 802.11i

3. อุปกรณ์เครือข่ายไร้สายมีอะไรบ้าง

เครือข่ายไร้สายที่จะนำมาใช้งานประกอบขึ้นด้วยอุปกรณ์ประเภทต่างๆ มากมาย ซึ่งมีทั้งออกแบบมาสำหรับใช้งานกับผู้ใช้งานภายในบ้านและผู้ใช้งานภายในองค์กรต่างๆ

PCI Card ในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆ หลายๆ รุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมนบอร์ดในระดับไฮเอนด์ จะมีคุณสมบัติไร้สายแบบ Built-in ให้มาด้วย แต่ถ้าท่านต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพีซีที่มีอยู่ต้องการใช้งานร่วมกับระบบไร้สาย ได้ก็สามารถเลือกติดตั้ง PCI Card ได้ ด้วยการถอดฝาครอบเครื่องของเราออกแล้วติดตั้งเข้าไปได้ทันที การ์ดอีเทอร์เน็ตไร้สายแบบนี้นั้นจะมีเสาส่งสัญญาณแบบ Dipole ให้มาด้วย 1 เสา ถอดเปลี่ยนได้มาให้พร้อมกันด้วย ซึ่งผู้ใช้งานนั้นสามารถที่จะปรับองศาให้หันไปทิศทางที่ Access Point ตั้งอยู่เพื่อให้ประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนสัญญาณระหว่างกันนั้นดีขึ้นได้

PCMCIA Card เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่มีจำหน่ายในปัจจุบันนี้นิยมผนวกรวมความสามารถในการใช้งานเครือข่ายไร้สายเข้าไว้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโน้ตบุ๊กที่ใช้งานเทคโนโลยี Intel Centrino ของทาง Intel แต่ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของท่านไม่สามารถใช้งานเครือข่ายไร้สาย ก็สามารถหาซื้อการ์ดแบบ PCMCIA CardBus Adapter มาติดตั้งได้ โดยลักษณะของตัวการ์ดจะมีขนาดเล็กเท่าบัตรเครดิต บางเบาและน้ำหนักน้อยจึงสามารถติดตั้งเข้ากับสล็อตแบบ PCMCIA ของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กได้โดยง่ายทีเดียว

Access Pointเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เป็นตัวกลางในการรับและส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งการ์ดเครือข่ายไร้สายให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ลักษณะการทำงานจะเป็นเช่นเดียวกับ Hub ที่ใช้กับระบบเครือข่ายใช้สาย โดย Access Point จะมีพอร์ต RJ-45 สำหรับใช้เพื่อเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายใช้สายที่ใช้งานกันอยู่

Wireless Broadband Router อุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับ ADSL ซึ่งออกแบบมาสำหรับจุดประสงค์การใช้งานอย่างหลากหลายเป็นทั้ง Router, Switch และ Access Point ปกติผู้ผลิตจะออกแบบมาให้มีพอร์ตเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์แบบใช้สายจำนวน 4 พอร์ต แต่ผู้ผลิตหลายรายก็ออกอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กขนาดพ็อกเก็ตที่มีปุ่มสลับโหมดการทำงานมาให้ใช้ ซึ่งเหมาะสำหรับการเคลื่อนย้ายบ่อยครั้ง

Wireless Bridge เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาสำหรับใช้เชื่อมต่อเครือข่าย 2 เครือข่าย ให้สื่อสารกันได้ มีให้เลือกใช้งานทั้งแบบติดตั้งภายนอกซึ่งใช้เชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างอาคาร และแบบที่ติดตั้งภายในอาคาร โดย Wireless Bridge มี 2 ลักษณะให้เลือกใช้ คือ แบบที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างจุดต่อจุด (Point-to-Point) และแบบจุดต่อหลายจุด (Point-To-Multipoint)

Wireless PrintServer สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องพิมพ์เพื่อให้มีความสามารถในแบบไร้สาย มีทั้งรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานกับเครื่องพิมพ์ที่มีพอร์ต Parallel, USB หรือทั้งสองพอร์ตร่วมกันด้วย

PoE (Power over Ethernet) Adapter เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาสำหรับแก้ไขข้อยุ่งยากในการเดินสายไฟฟ้าเพื่อใช้งานกับอุปกรณ์ไร้สาย โดยหันมาใช้วิธีการจ่ายไฟผ่านสายนำสัญญาณ UTP ที่ยังมีคู่สายที่ยังไม่ถูกนำมาใช้งานมาทำหน้าที่แทน ซึ่งอุปกรณ์PoE Adapter จะมี 2 ส่วน คือ Power Injector เป็นอุปกรณ์กำเนิดไฟฟ้าและนำสัญญาณข้อมูลจาก Switch Hub เข้าไปสายนำสัญญาณสู่อุปกรณ์ไร้สายอย่าง Access Point และอีกอุปกรณ์เป็น Spliter ที่ใช้แยกสัญญาณข้อมูลและไฟฟ้าให้กับ Access Point ผู้ผลิตหลายรายในปัจจุบันออกแบบให้ Switch สนับสนุนมาตรฐาน IEEE 802.3af (PoE) มาพร้อมด้วย

4.สเปคอุปกรณ์ของอุปกรณ์ไร้สายพร้อมราคาคุณสมบบัติ

การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับใช้งานกับเครือข่ายไร้สายนั้น มีข้อพิจารณาไม่ได้แตกต่างไปจากผลิตภัณฑ์เครือข่ายใช้สายเท่าใดนัก โดยคุณสมบัติที่ควรมีมีดังต่อไปนี้มาตรฐานใดที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน ในปัจจุบันมาตรฐานที่นิยมใช้กันงานกันอยู่จะเป็นมาตรฐาน IEEE802.11g ซึ่งรองรับอัตราความเร็วสูงสุดในระดับ 54 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps) ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานโดยทั่วๆ ไปในปัจจุบันได้อย่างดี พร้อมกันนั้นก็ยังสนับสนุนการทำงานร่วมกันกับมาตรฐานเดิมอย่าง IEEE802.11b ได้อย่างไร้ปัญหา แต่ในขณะนี้ก็เริ่มที่จะเห็นผู้ผลิตหลายๆ รายต่างส่งผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุนเทคโนโลยี MIMO ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นที่คาดหมายกันว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ เครือข่ายไร้สายที่ให้แบนด์วิดท์, ให้ประสิทธิภาพการใช้งานที่มากกว่าและมีรัศมีการทำงานที่ดีกว่านั้นจะเข้ามาทดแทนมาตรฐาน IEEE 802.1g เดิม แต่ผลิตภัณฑ์ที่จะใช้งานคุณสมบัติเหล่านี้ได้อย่างเต็มพิกัดจะต้องเป็นอุปกรณ์จากซีรีส์เดียวกัน ซึ่งตอนนี้ยังมีราคาแพงอยู่มาก การเลือกใช้อุปกรณ์สำหรับมาตรฐาน IEEE802.11g จึงยังคงเป็นคำตอบที่คุ้มค่ามากที่สุดอยู่ ระบบอินเตอร์เฟซแบบไหนสำหรับคุณ การ์ดอีเทอร์เน็ตไร้สายก็มีหลายแบบหลายชนิดให้เราๆ ได้เลือกใช้เช่นเดียวกัน สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊กคุณสมบัติแบบไร้สายดูจะถูกผนวกรวมมาพร้อมกับตัวเครื่องแล้ว แต่สำหรับท่านที่ยังต้องการการ์ดไร้สายสำหรับโน้ตบุ๊กตัวโปรดอยู่ Wireless PCMCIA Card คือคำตอบสุดท้าย หรือถ้าอยากจะใช้งานร่วมกับเครื่องพีซีอย่างคุ้มค่าก็ควรเลือกการ์ดแบบ USB Adapter ที่ราคาอาจจะแพงขึ้นมาหน่อยแต่ก็แลกมากับความคุ้มค่าใช้งานได้หลากหลายกว่า สำหรับท่านที่มีเครื่องพีซีก็มีอินเทอร์เฟซแบบ PCI Card มาเป็นตัวเลือกเช่นเดียวกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมาพร้อมสายสัญญาณและเสาอากาศที่ตั้งบนที่สูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการสื่อสารได้ ผลิตภัณฑ์เชื่อมโยงสัญญาณระหว่างกัน นอกจากจะสนับสนุนการทำงานในแบบ Ad-Hoc หรือ Peer-to-Peer แล้ว ระบบเครือข่ายไร้สายก็ยังสามารถใช้ Access Point เป็นจุดเชื่อมต่อสัญญาณกับเครือข่ายใช้สายเพื่อการแชร์การใช้ทรัพยากรร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการได้ยืดหยุ่นกว่า ในแบบ Insfrastructure โดยถ้ายังไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือติดตั้งระบบเครือข่ายมาก่อน ก็ควรจะเลือกใช้อุปกรณ์อย่าง Wireless Router ที่มีคุณสมบัติในแบบ All-in-One จะให้ความคุ้มค่าได้มากกว่า หรือถ้ามีการใช้งานเครือข่ายใช้สายและไร้สายอยู่ก่อนแต่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้งาน การเลือกใช้ Access Point ที่สนับสนุนโหมดการทำงานแบบ Bridge และ Repeater ร่วมด้วย ดูจะเป็นการลงทุนที่ดูคุ้มค่ากว่า ปกป้องการใช้งานด้วยระบบรักษาความปลอดภัย สิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษในการจัดซื้อผลิตภัณฑ์ระบบเครือข่ายไร้สายก็คือ การสื่อสารไร้สายนั้นเป็นการติดต่อสื่อสารด้วยการใช้คลื่นวิทยุที่แพร่ไปตามบรรยากาศ จึงต้องให้ความสนใจในการเข้ารหัสข้อมูล ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการดักจับสัญญาณจากผู้ไม่ประสงค์ดี การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ไร้สายจึงต้องคำนึงถึงฟังก์ชันการเข้ารหัสที่ใช้ ซึ่งเทคนิคที่ใช้งานโดยทั่วๆ ไป สำหรับผู้ใช้ตามบ้าน Wired Equivalent Privacy หรือ WEP ขนาด 64/128-bit ร่วมกับ MAC Address Filtering ก็ดูจะเพียงพอ แต่สำหรับการใช้งานภายในองค์กรนั้นเทคนิคการตรวจสอบและกำหนดสิทธิ์การใช้งานต้องดูแข็งแกร่งกว่าโดยเลือกใช้ WPA (Wi-Fi Protected Privacy) ซึ่งใช้คีย์การเข้ารหัสที่น่าเชื่อถือร่วมกันกับเทคนิคการตรวจสอบและการกำหนดสิทธิ์ในแบบ 2 ฝั่ง แบบอื่นๆ อย่าง RADIUS ร่วมด้วยจึงเป็นคำตอบที่เหมาะสม เสารับส่งสัญญาณของผลิตภัณฑ์ สำหรับเสาอากาศของการ์ดไร้สายนั้น ถ้าเป็นการ์ดแบบ PCMCIA และแบบ USB จะเป็นเสาอากาศ Built-in มาพร้อมตัวการ์ด ส่วนการ์ดแบบ PCI นั้นจะเป็นเสาอากาศแบบ Reverse-SMA Connector ซึ่งสามารถถอดออกได้ โดยที่พบเห็นจะเป็นทั้งในแบบเสาเดี่ยวๆ ที่หมุนเข้ากับตัวการ์ด และอีกแบบจะเป็นแบบที่มีสายนำสัญญาณต่อเชื่อมกับเสาที่ตั้งบนพื้นหรือยึดติดกับผนังได้ ซึ่งการเลือกซื้อนั้นควรเลือกซื้อเสาอากาศแบบหลัง เนื่องจากให้ความยืดหยุ่นในการติดตั้งมากกว่า เพราะสามารถติดตั้งบนที่สูงๆ ได้ สำหรับอุปกรณ์อย่าง Access Point หรือ Wireless Router นั้นจะมีเสานำสัญญาณทั้งในแบบเสาเดี่ยวและ 2 เสา โดยการเลือกซื้อนั้นควรเลือกซื้อแบบ 2 เสา เนื่องจากให้ประสิทธิภาพในการรับส่งสัญญาณที่ดีกว่า โดยลักษณะของเสานั้นจะมีทั้งในแบบที่ยึดติดกับเข้ากับตัวอุปกรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบเห็นในรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้งานตามบ้าน และอีกแบบเป็นเสาที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ซึ่งหัวเชื่อมต่อนั้นจะเป็นทั้งแบบ Reverse-SMA Conector, SMA Conector และแบบ T-Connector ซึ่งถ้าจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเสาอากาศควรจะเลือกซื้อจากทางผู้ผลิตรายเดียวกันเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ซื้อหัวเชื่อมต่อผิดประเภท สำหรับชนิดของเสาอากาศที่มีจำหน่ายจะมี 2 ชนิดหลักๆ ก็คือ แบบ Omni-Direction Antenna ซึ่งเป็นเสาที่ทุกผู้ผลิตให้มากับตัวผลิตภัณฑ์แล้ว โดยคุณสมบัติของเสาประเภทนี้ก็คือ การรับและส่งสัญญาณในแบบรอบทิศทางในลักษณะเป็นวงกลม ทำให้การกระจายสัญญาณนั้นมีรัศมีโดยรอบ ครอบคลุมพื้นที่ แต่ถ้าต้องการใช้งานที่มีลักษณะรับส่งสัญญาณเป็นเส้นตรงเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการรับส่งและระยะทางตามต้องการก็มีเสาอีกชนิดหนึ่ง คือ Direction Antenna ซึ่งนิยมใช้งานกับผลิตภัณฑ์ประเภท Wireless Bridge สำหรับการสื่อสารในแบบ Point-to-Pointสำหรับท่านที่ต้องการเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อให้ได้ไกลมากยิ่งขึ้น ก็สามารถเลือกซื้อเสาอากาศ High Gain ที่มีการขยายสัญญาณสูงกว่าเสาอากาศที่ทางผู้ผลิตให้มากับตัวอุปกรณ์ โดยมีให้เลือกใช้หลายแบบทั้งในแบบที่มีค่า Gain 5, 8, 12, 14 หรือสูงกว่าได้ กำลังส่งที่ปรับได้ สำหรับการใช้งานผลิตภัณฑ์ไร้สายนั้น การปรับกำลังส่งสัญญาณได้นับว่าเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของตัวผลิตภัณฑ์ โดยกำลังส่งสูงสุดจะไม่เกิน 100mW หรือ 20dBm ซึ่งผู้ผลิตบางรายจะมีผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุนกำลังสูงสุดนี้ทีเดียว โดยค่ากำลังส่งที่มากก็แสดงว่า สามารถที่จะแพร่สัญญาณไปในระยะทางที่ไกล หรือให้รัศมีที่มากขึ้น แต่ก็สามารถปรับกำลังส่งให้ลดต่ำลงเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานภายในองค์กรที่จะต้องใช้กำลังส่งให้เหมาะสมกับพื้นที่ เนื่องจากกำลังส่งสูงๆ อาจจะไปรบกวนสำนักงานข้างเคียงและอาจถูกลักลอบใช้งานระบบเครือข่ายไร้สายก็เป็นไปได้ การอัปเกรดเฟิร์มแวร์เพื่อเพิ่มเติมคุณสมบัติใหม่ๆ อุปกรณ์สำหรับระบบเครือข่ายไร้สายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Access Point, Wireless Router หรือผลิตภัณฑ์ไร้สายประเภทอื่นๆ ทางผู้ผลิตก็อาจจะเพิ่มเติมคุณสมบัติใหม่ๆ ในภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของฟังก์ชันการเข้ารหัส ซึ่งอุปกรณ์ที่ผลิตออกมาก่อนหน้าจะสนับสนุน WEP, WPA ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับระบบรักษาความปลอดภัยที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูงมากกว่า ทำให้ผู้ผลิตรายต่างๆ มีการออกเฟิร์มแวร์รุ่นใหม่ๆ ที่สนับสนุนการทำงานเพิ่มเติมอย่างทำให้รองรับ WPA2 ซึ่งเป็นฟังก์ชันการเข้ารหัสรุ่นใหม่ล่าสุดของอุปกรณ์ไร้สายออกมา ซึ่งผู้ผลิตจะมีเมนูเชื่อมโยงเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ใช้งานได้ดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์รุ่นใหม่มาใช้งานได้

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ข้อสอบ

1. พื้นที่ที่สัญญาณครอบคลุมการทำงานเรียกว่าอะไร

a. AP

b. BSS

c. ESS

d. DCF



เฉลย a. AP



2. ข้อใดไม่ถูกต้องในการกล่าวถึง Rang ของความถี่

a. 902 MHz – 928 MHz

b. 2.400 GHz – 2.8435 GHz

c. 5.725 GHz – 5.855 GHz

d. ข้อ ก. และ ข้อ ข.



เฉลย b. 2.400 GHz – 2.8435 GHz



จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามจากข้อ 3 – 8 เขียนคำตอบลงในช่อง ก

.A. Industry

B. Science

C. Medical

D. 900 MHz

E. 2.400 GHz

F. IEEE802.11a

G. IEEE802.11b

H. 54 Mbits

I. 2 Mbits

J. 11 Mbits

K. DSSS

L. FHSS

M. ISM



3. Data Rate สูงสุดที่สามารถส่งข้อมูลได้ใน wireless Lan ที่ใช้ Machanism แบบ OFDM

ตอบK.DSSS



4. Radio Frequency ที่ใช้งานเยอะที่สุดใน IEEE802.11

ตอบ L. FHSS



5. IEEE802.11b ใช้ machanism แบบใด

ตอบ C. Medical



6. Machanism แบบใดที่มี Data Rate 11 Mbits

ตอบ A. Industry



7. ย่านความถี่ที่อนุญาตให้ใช้ได้ในงานอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และการแพทย์

ตอบ D. 900 MHz



8. Radio frequency 2.400 GHz มีกี่ channel

a. 54

b. 69

c. 79

d. 89



เฉลย c.79



9. ในการ hop แต่ละ hop ใช้การ synchronize ต่างกันเท่าไหร่

a. 0.4 ms per hop

b. 0.45 ms per hop

c. 0.2 ms per hop

d. 0.25 ms per hop



เฉลย b.0.45 ms per hop

10. สถาปัตยกรรมของ wireless lan ใน mode ใดที่ต้องเดินสาย wire network

a. ad-hoc

b. Peer to peer

c. Infrastructure

d. BSS



เฉลย d.BSS

11. Routing Protocol มีกี่แบบ อะไรบ้าง

a. 2 แบบ Link state & Distance Vector

b. 2 แบบ Link state & Dynamic

c. 2 แบบ Dynamic & Static

d. 2 แบบ DGP & OSPF



เฉลย b. 2 แบบ Link state & Dynamic



12. ข้อใดไม่ใช่ข้อพิจารณาลักษณะของ Routing ที่ดี

a. Cost ต่ำ

b. Space ต่ำ

c. Delay ต่ำ

d. Hop ต่ำ



เฉลย d. Hop ต่ำ



13. Protocol BGP พิจารณาการส่งข้อมูลจากอะไร

a. จำนวนลิงค์

b. ระยะทาง

c. จำนวน router

d. ราคาค่าเช่า



เฉลย b. ระยะทาง



14. ลักษณะสำคัญของ routing table ประกอบด้วยอะไรบ้าง

a. ต้นทาง

b. ปลายทาง

c. ต้นทาง ปลายทาง

d. ต้นทาง โปรโตคอล ปลายทาง



เฉลย c. ต้นทาง ปลายทาง



15. OSFP (Open Shortest Path First) เป็นชื่อของ

a. Algorithm

b. Protocol

c. Router

d. Routing Table



เฉลย b. Protocol



16. ชนิดของเส้นใยแก้วนำแสงที่ใช้รับ – ส่งข้อมูลในระยะทางไกล ๆ

a. Grade Index Multimode

b. Step Index Multimode

c. Single Mode

d. ถูกทุกข้อ



เฉลย a.Grade Index Multimode



17. แกนกลางที่เป็นใยแก้วนำแสงเรียกว่าอะไร

a. Jacket

b. Claddingc.

Core

d. Fiber



เฉลย c. Core





18. แสดงที่เดินทางภายใสเส้นใยนำแสงจะตกกระทบเป็นมุม คือลักษณะของเส้นใยแก้วแบบใด

a. Grade Index Multimode

b. Step Index Multimode

c. Single Mode

d. ถูกทุกข้อ



เฉลย a. Grade Index Multimode



19. แสดงที่เดินทางภายในเส้นใยแก้วนำแสงจะเป็นเส้นตรง คือลักษณะของเส้นใยแก้วแบบใด

a. Grade Index multimode

b. Step Index Multimode

c. Single Mode

d. ถูกทุกข้อ



เฉลย c. Single Mode



20. ต้นกำเนิดแสง (optical source) ที่มี Power ของแสงเข้มข้นคือ

a. Laser

b. APD

c. LED

d. PIN-FET



เฉลย d.PIN-FET



21. ข้อใดคือ Fast Ethernet

a. 10base5

b. 1000baseFX

c. 100BaseFL

d. 10GbaseTX



เฉลย b. 1000baseFX



22. 10BasF ใช้สายสัญญาณอะไรในการส่งข้อมูล

a. UTP

b. STP

c. Coaxial

d. Fiber Optic



เฉลย b. STP



23. ข้อใดไม่ใช่ Ethernet แบบ 1000 mbps

a. 1000BaseT

b. 100BaseTX

c. 1000BaseX

d. 1000BaseFL



เฉลย c.1000BaseX



24. ขนาด Frame ที่เล็กที่สุดของ Gigabit Ethernet คือ

a. 53 byte

b. 64 byte

c. 128 byte

d. 512 byte



เฉลย d. 512 byte



25. Ethernet ใช้ protocol ใดในการตรวจสอบการส่งข้อมูล

a. LLC

b. CSMA/CA

c. CSMA/CD

d. ALOHA



เฉลย b. CSMA/CA



26. Ethernet 10baseT ต่อยาวกี่เมตรสูงสุด
a. 80 ม.
b. 100 ม.
c. 150 ม.
d. 185 ม.

เฉลย b. 100 ม.

27. ใครเป็นผู้กำหนดมาตรฐานของ Ethernet
a. OSI
b. IEEE
c. ISO
d. CCITT

เฉลย b.IEEE

28. 10Base5 ใช้สาย Coaxial แบบใด
a. Thin
b. Thick
c. UTP
d. STP

เฉลย b.Thick

29. Fast Ethernet มีความเร็วเท่าใด
a. 10 mbps
b. 100 mbps
c. 1000 mbps
d. 10 Gbps

เฉลย b. 100 mbps

30. 100 Mbps, baseband, long wavelength over optical fiber cable คือ มาตรฐานของ
a. 1000Base-LX
b. 1000Base-FX
c. 1000Base-T2
d. 1000Base-T4

เฉลย d.1000Base-T



31. ATM มีขนาดกี่ไบต์
a. 48 ไบต์
b. 53 ไบต์
c. 64 ไบต์
d. 128 ไบต์

เฉลย b. 53 ไบต์
32. CSMA พัฒนามาจาก
a. CSMA/CA
b. CSMA/CD
c. CSMA
d. ALOHA

เฉลย b. CSMA/CD

33. Internet เกิดขึ้นที่ประเทศอะไร
a. AU
b. JP
c. USA
d. TH

เฉลย c.USA

34. เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการขนถ่ายข้อมูล หรือ Transport Technology
a. SEH
b. ATM
c. Mobile
d. DWDM

เฉลย d. DWDM

35. ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเรียกว่าอะไร
a. CS internet
b. Operator
c. Admin
d. ISP

เฉลย c.Admin

36. การแจกจ่ายหมายเลขไอพีแอดเดรส ให้กับเครื่องลูกโดยอัตโนมัติเรียกว่าอะไร
a. DNS
b. FTP
c. DHCP
d. Proxxy

เฉลย b.FTP

37. การถ่ายโอนข้อมูลบนระบบอินเตอร์เน็ตเรียกว่าอะไร
a. DNS
b. FTP
c. DHCP
d. Proxxy

เฉลย c. DHCP

38. โปรโตคอลการสื่อการที่เป็น offline
a. ICMP
b. TCP
c. UDP
d. ARP

เฉลย d. ARP

39. การหาเส้นทางการส่งข้อมูลเรียกว่า
a. Routing
b. Routing Protocol
c. RoutingTable
d. Router

เฉลย b. Routing Protocol

40. ข้อใดไม่มีในขั้นตอนการทำ server 7 พ.ค. 48
a. DHCP
b. DNS
c Routing Protocol
d. Virtual host

เฉลย b. DNS

41. หมายเลข IP Class ใดรองรับการทำงานของ host ได้สูงสุด
a. A
b. B
c. C
d. D

เฉลย d. D

42. อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างชนิดเข้าด้วยกันคือ
a. Hub
b. Switching
c. Modem
d. Router

เฉลย a. Hub

43. การ set ค่าความสำคัญสูงสุด (High priority) ของ packet เป็นหน้าที่ของ function ใดต่อไปนี้
a. PIFS
b. SIFS
c. DIFS
d. MIB

เฉลย d. MIB

44. การป้องกันการชนกันของการส่งข้อมูลใด WLAN ใช้หลักการใด
a. ALOHA
b. CSMA
c. CSMA/CA
d. CSMA/CD

เฉลย d. CSMA/CD

45. Data Rate สูงสุดขนาด 54 Mb ที่ส่งได้ใน WLAN ใช้มาตรฐานใดและใช้หลัก mechanism (กลไกการส่ง) แบบใด
a. IEEE802.11a ; DSSS
b. IEEE802.11b ; FHSS
c. IEEE802.11a ; OFDM
d. IEEE802.11b ; OFDM

เฉลย c. IEEE802.11a ; OFDM

46. อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณ D/A คือ
a. Hub
b. Switching
c. Modem
d. Router

เฉลย c. Modem

47.อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่บรอดแคสสัญญาณ (Broadcast) คือ
a. Hub
b. Switching
c. Modem
d. Router

เฉลย d. Router

48. Mechanism ใดของ WLAN ที่มีการรบกวน (Interference) สูงที่สุดใด
a. Diffuse IR
b. DSSS
c. OFDM
d. FHSS

เฉลย b. DSSS

49. CIDR 192.168.0.0/24 จะมีค่า subnet mask เท่าใด
a. 225.225.0.0
b. 225.225.128.0
c. 225.225.225.0
d. 225.225.225.192

เฉลย d. 225.225.225.192

50. การ Roaming ใช้กับการโอนถ่ายข้อมูลระหว่าง
a. AP กับ AP
b. BSSกับ AP
c. AP กับ BSS
d. BSS กับ BSS

เฉลย c. AP กับ BSS

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เข้าเรียนใหม่

คำอะธิบายรายวิชา

.........ความรู้เบื้องต้นเบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เครือข่าย การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์กับเทอร์มินอล ชั้นของโปรโตคอลมาตรฐาน OSI รูปแบบต่าง ๆ ของเครือข่าย X.25 เนตเวิร์คและดิจิตอลเนตเวอร์ค การประมวลผลแบบตามลำดับและแบบขนาน การไปป์ไลน์ (Pipelining) การประมวลผลแบบเวคเตอร์ (Vector Processing) การประมวลผลแบบอะเรย์ (Array Processors) มัลติโปรเซสเชอร์ (Multiprocessor) และฟอลท์โทเลอร์แรนซ์ (Fault Tolerance)

url ของ e-learning

1..http://www.learn.in.th/(เลิร์นออนไลน์ )

2..http://www.ram.edu/elearning/index.php(ศูนย์สื่อการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์มหาวิทยาลัยรามคำแหง)

3.http://webindex.sanook.com/clickstat.php?linkid=127365 (เลิร์นสแควร์ )

4.http://course.rru.ac.th/(อีเลิร์นนิ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์)

5.http://webindex.sanook.com/clickstat.php?linkid=59623 (อีเลิร์นนิ่งไท

6.http://webindex.sanook.com/clickstat.php?linkid=100262 (อีเลิร์นนิ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี)

7.http://webindex.sanook.com/clickstat.php?linkid=97843 (อีเลิร์นนิ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม )

8.http://webindex.sanook.com/clickstat.php?linkid=98795 (อีเลิร์นนิ่ง ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาสุขภาพภาคประชาชน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ )

9.http://www.chulaonline.com/(จุฬาออนไลน์ )

10.http://e-learning.mfu.ac.th/mflu/(มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง)

Topology
รูปแบบของการเชื่อมโยงเครือข่าย หรือโทโปโลยี (LAN Topology)
.....โทโปโลยีคือลักษณะทางกายภาพ (ภายนอก) ของระบบเครือข่าย ซึ่งหมายถึง ลักษณะของการเชื่อมโยงสายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ภายในเครือข่ายด้วยกันนั่นเอง โทโปโลยีของเครือข่าย LAN แต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งาน แตกต่างกันออกไป การนำไปใช้จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำการศึกษาลักษณะและคุณสมบัติ ข้อดีและข้อเสียของโทโปโลยีแต่ละแบบ เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบพิจารณาเครือข่าย ให้เหมาะสมกับการใช้งาน รูปแบบของโทโปโลยี ของเครือข่ายหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้












1.โทโปโลยีแบบบัส (BUS)

.....เป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกเชื่อมต่อกันโดยผ่ายสายสัญญาณแกนหลัก ที่เรียกว่า BUS หรือ แบ็คโบน (Backbone) คือ สายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลัก ใช้เป็นทางเดินข้อมูลของทุกเครื่องภายในระบบเครือข่าย และจะมีสายแยกย่อยออกไปในแต่ละจุด เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ซึ่งเรียกว่าโหนด (Node) ข้อมูลจากโหนดผู้ส่งจะถูกส่งเข้าสู่สายบัสในรูปของแพ็กเกจ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจจะประกอบไปด้วยข้อมูลของผู้ส่ง, ผู้รับ และข้อมูลที่จะส่ง การสื่อสารภายในสายบัสจะเป็นแบบ 2 ทิศทางแยกไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของ บัส โดยตรงปลายทั้ง 2 ด้านของบัส จะมีเทอร์มิเนเตอร์ (Terminator) ทำหน้าที่ลบล้างสัญญาณที่ส่งมาถึง เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลนั้นสะท้อนกลับ เข้ามายังบัสอีก เพื่อเป็นการป้องกันการชนกันของข้อมูลอื่น ๆ ที่เดินทางอยู่บนบัสในขณะนั้น
สัญญาณข้อมูลจากโหนดผู้ส่งเมื่อเข้าสู่บัส ข้อมูลจะไหลผ่านไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของบัส แต่ละโหนดที่เชื่อมต่อเข้ากับบัส จะคอยตรวจดูว่า ตำแหน่งปลายทางที่มากับแพ็กเกจข้อมูลนั้นตรงกับตำแหน่งของตนหรือไม่ ถ้าตรง ก็จะรับข้อมูลนั้นเข้ามาสู่โหนด ตน แต่ถ้าไม่ใช่ ก็จะปล่อยให้สัญญาณข้อมูลนั้นผ่านไป จะเห็นว่าทุก ๆ โหนดภายในเครือข่ายแบบ BUS นั้นสามารถรับรู้สัญญาณข้อมูลได้ แต่จะมีเพียงโหนดปลายทางเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่จะรับข้อมูลนั้นไปได้

ข้อดี
- ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการวางสายสัญญาณมากนัก สามารถขยายระบบได้ง่าย เสียค่าใช้จ่ายน้อย ซึ่งถือว่าระบบบัสนี้เป็นแบบโทโปโลยีที่ได้รับความนิยมใช้กันมากที่สุดมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือสามารถติดตั้งระบบ ดูแลรักษา และติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมได้ง่าย ไม่ต้องใช้เทคนิคที่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก

ข้อเสีย
- อาจเกิดข้อผิดพลาดง่าย เนื่องจากทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ ต่อยู่บนสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว ดังนั้นหากมี สัญญาณขาดที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ก็จะทำให้เครื่องบางเครื่อง หรือทั้งหมดในระบบไม่สามารถใช้งานได้ตามไปด้วย
- การตรวจหาโหนดเสีย ทำได้ยาก เนื่องจากขณะใดขณะหนึ่ง จะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น ที่สามารถส่งข้อความ ออกมาบนสายสัญญาณ ดังนั้นถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากๆ อาจทำให้เกิดการคับคั่งของเน็ตเวิร์ค ซึ่งจะทำให้ระบบช้าลงได้



















2.โทโปโลยีแบบวงแหวน (RING)
....เป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบเครือข่าย ทั้งเครื่องที่เป็นผู้ให้บริการ( Server) และ เครื่องที่เป็นผู้ขอใช้บริการ(Client) ทุกเครื่องถูกเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม ข้อมูลข่าวสารที่ส่งระหว่างกัน จะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปใน ทิศทางเดียวกัน โดยไม่มีจุดปลายหรือเทอร์มิเนเตอร์เช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS ในแต่ละโหนดหรือแต่ละเครื่อง จะมีรีพีตเตอร์ (Repeater) ประจำแต่ละเครื่อง 1 ตัว ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข้อมูลที่จำเป็นต่อการติดต่อสื่อสารเข้าในส่วนหัวของแพ็กเกจที่ส่ง และตรวจสอบข้อมูลจากส่วนหัวของ Packet ที่ส่งมาถึง ว่าเป็นข้อมูลของตนหรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยัง Repeater ของเครื่องถัดไป


ข้อดี
- ผู้ส่งสามารถส่งข้อมูลไปยังผู้รับได้หลาย ๆ เครื่องพร้อม ๆ กัน โดยกำหนดตำแหน่งปลายทางเหล่านั้นลงในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล Repeaterของแต่ละเครื่องจะทำการตรวจสอบเองว่า ข้อมูลที่ส่งมาให้นั้น เป็นตนเองหรือไม่
- การส่งผ่านข้อมูลในเครือข่ายแบบ RING จะเป็นไปในทิศทางเดียวจากเครื่องสู่เครื่อง จึงไม่มีการชนกันของสัญญาณ ข้อมูลที่ส่งออกไป
- คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเน็ตเวิร์กมีโอกาสที่จะส่งข้อมูลได้อย่างทัดเทียมกัน

ข้อเสีย
- ถ้ามีเครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย ข้อมูลจะไม่สามารถส่งผ่านไปยังเครื่องต่อ ๆ ไปได้ และจะทำให้เครือข่ายทั้งเครือข่าย หยุดชะงักได้
- ขณะที่ข้อมูลถูกส่งผ่านแต่ละเครื่อง เวลาส่วนหนึ่งจะสูญเสียไปกับการที่ทุก ๆ Repeater จะต้องทำการตรวจสอบตำแหน่งปลายทางของข้อมูลนั้น ๆ ทุก ข้อมูลที่ส่งผ่านมาถึง





















3.โทโปโลยีแบบดาว (STAR)

....เป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่าย จะต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวกลางตัวหนึ่งที่เรียกว่า ฮับ (HUB) หรือเครื่อง ๆ หนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อสายสัญญาญที่มาจากเครื่องต่าง ๆ ในเครือข่าย และควบคุมเส้นทางการสื่อสาร ทั้งหมด เมื่อมีเครื่องที่ต้องการส่งข้อมูลไปยังเครื่องอื่น ๆ ที่ต้องการในเครือข่าย เครื่องนั้นก็จะต้องส่งข้อมูลมายัง HUB หรือเครื่องศูนย์กลางก่อน แล้ว HUB ก็จะทำหน้าที่กระจายข้อมูลนั้นไปในเครือข่ายต่อไป

ข้อดี
- การติดตั้งเครือข่ายและการดูแลรักษาทำ ได้ง่าย หากมีเครื่องใดเกิดความเสียหาย ก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย และศูนย์ กลางสามารถตัดเครื่องที่เสียหายนั้นออกจากการสื่อสาร ในเครือข่ายได้เลย โดยไม่มีผลกระทบกับระบบเครือข่าย

ข้อเสีย
- เสียค่าใช้จ่ายมาก ทั้งในด้านของเครื่องที่จะใช้เป็น เครื่องศูนย์กลาง หรือตัว HUB เอง และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสายเคเบิลในเครื่องอื่น ๆ ทุกเครื่อง การขยายระบบให้ใหญ่ขึ้นทำได้ยาก เพราะการขยายแต่ละครั้ง จะต้องเกี่ยวเนื่องกับเครื่องอื่นๆ ทั้งระบบ



4.โทโปโลยีแบบ Hybrid

....เป็นรูปแบบใหม่ ที่เกิดจากการผสมผสานกันของโทโปโลยีแบบ STAR , BUS , RING เข้าด้วยกัน เพื่อเป็นการลดข้อเสียของรูปแบบที่กล่าวมา และเพิ่มข้อดี ขึ้นมา มักจะนำมาใช้กับระบบ WAN (Wide Area Network) มาก ซึ่งการเชื่อมต่อกันของแต่ละรูปแบบนั้น ต้องใช้ตัวเชื่อมสัญญาญเข้ามาเป็นตัวเชื่อม ตัวนั้นก็คือ Router เป็นตัวเชื่อมการติดต่อกัน

5.โทโปโลยีแบบ MESH

...เป็นรูปแบบที่ถือว่า สามารถป้องกันการผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบได้ดีที่สุด เป็นรูปแบบที่ใช้วิธีการเดินสายของแต่เครื่อง ไปเชื่อมการติดต่อกับทุกเครื่องในระบบเครือข่าย คือเครื่องทุกเครื่องในระบบเครือข่ายนี้ ต้องมีสายไปเชื่อมกับทุก ๆ เครื่อง ระบบนี้ยากต่อการเดินสายและมีราคาแพง จึงมีค่อยมีผู้นิยมมากนัก




ประเภทของระบบเครือข่าย Lan ซึ่งแบ่งตามลักษณะการทำงาน

..ในการแบ่งรูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย Lan นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่การเชื่อมต่อแบบ

Peer - To - Peer และแบบ Client / Server

1. แบบ Peer - to - Peer เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ละเครื่อง จะสามารถแบ่งทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์หรือเครื่องพิมพ์ซึ่งกันและกันภายในเครือข่ายได้ เครื่องแต่ละเครื่องจะทำงานในลักษณะทีทัดเทียมกัน ไม่มีเครื่องใดเครื่องเครื่องหนึ่งเป็นเครื่องหลักเหมือนแบบ Client / Server แต่ก็ยังคงคุณสมบัติพื้นฐานของระบบเครือข่ายไว้เหมือนเดิม การเชื่อต่อแบบนี้มักทำในระบบที่มีขนาดเล็กๆ เช่น หน่วยงานขนาดเล็กที่มีเครื่องใช้ไม่เกิน 10 เครื่อง การเชื่อมต่อแบบนี้มีจุดอ่อนในเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัย แต่ถ้าเป็นเครือข่ายขนาดเล็ก และเป็นงานที่ไม่มีข้อมูลที่เป็นความลับมากนัก เครือข่ายแบบนี้ ก็เป็นรูปแบบที่น่าเลือกนำมาใช้ได้เป็นอย่างดี














2. แบบ client-server เป็นระบบที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องมีฐานะการทำงานที่เหมือน ๆ กัน เท่าเทียมกันภายในระบบ เครือข่าย แต่จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่อง Server ที่ทำหน้าที่ให้บริการทรัพยากรต่าง ๆ ให้กับ เครื่อง Client หรือเครื่องที่ขอใช้บริการ ซึ่งอาจจะต้องเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างสูง ถึงจะทำให้การให้บริการมีประสิทธิภาพตามไปด้วย ข้อดีของระบบเครือข่าย Client - Server เป็นระบบที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงกว่า ระบบแบบ Peer To Peer เพราะว่าการจัดการในด้านรักษาความปลอดภัยนั้น จะทำกันบนเครื่อง Server เพียงเครื่องเดียว ทำให้ดูแลรักษาง่าย และสะดวก มีการกำหนดสิทธิการเข้าใช้ทรัพยากรต่าง ๆให้กับเครื่องผู้ขอใช้บริการ หรือเครื่อง Client







ประเภทของระบบเครือข่ายมีอีกรูปแบบหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ก็คือ การเชื่อมต่อแลนแบบไร้สาย Wireless Lan แลนไร้สาย WLAN เป็นเทคโนโลยีที่นำมาใช้ได้อย่างกว้างขวาง เหมาะที่จะใช้ได้ทั้งเครื่องพีซีตั้งโต๊ะธรรมดา และเครื่อง NoteBook ซึ่งการส่งสัญญาณติดต่อกันนั้น จะใช้สัญญาณวิทยุเป็นพาหะ ดังนั้นความเร็วในการส่งข้อมูลก็จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับระยะทาง ระยะทางยิ่งไกล ความเร็วในการส่งข้อมูลก็ทำให้ช้าลงไปด้วย แลนไร้สายเหมาะที่จะนำมาใช้กับงานที่ต้องการความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน อย่างเช่นพวก เครื่อง NoteBook เพียงแต่มีอินเตอร็เฟสแลนแบบไร้สาย ก็สามารถเคลื่อนที่ไปที่ใดก็ได้ภายในของเขตของระยะทางที่กำหนด อย่างเช่นภายในตึกได้ทั่วตึกเลยที่เดียว จุดเด่น ๆ ของ Wireless Lan มีดังนี้
- การเคลื่อนที่ทำได้สะดวก สามารถใช้ระบบแลนจากที่ใดก็ได้ และสามารถเข้าถึงข้อมูลได้แบบ Real Time ได้อีกด้วย
- การติดตั้งใช้งานง่าย และรวดเร็ว ไม่ต้องเดินสายสัญญาณให้ยุ่งยาก
- การติดตั้งและการขยายระบบ ทำได้อย่างกว้างขวาง เพราะสามารถขยายไปติดตั้งใช้งาน ในพื้นที่ ที่สายสัญญาณเข้าไม่ถึง
- เสียค่าใช้จ่ายลดน้อยลง เพราะว่าในปัจจุบันการส่งสัญญาณของ Wireless Lan ทำได้ไกลมากยิ่งขึ้น สามารถส่งได้ไกลกว่า 10 กม. ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการเช้าสายสัญญาณลงไปได้เป็นอย่างมาก
- มีความยืดหยุ่นในการใช้งานและการติดตั้ง สามารถปรับแต่งระบบให้ใช้ได้กับทุก Topology เลยทีเดียว การปรับแต่งทำได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งเครือข่าย การติดตั้ง Application ต่าง ทำได้โดยง่าย
มาตราฐานของ Wireless Lan นั้นตามมาตรฐานสากล 802.11 มีอัตราการส่งสัญญาณข้อมูลได้สูงสุด 11 เมกะบิตต่อวินาที ระยะทางการรับส่งสัญญาณขึ้นอยู่กับผู้ผลิตว่าออกแบบมาอย่างไร ถ้าเป็นการใช้ภายในอาคารสถานที่ ก็จะใช้สายอากาศแบบทุกทิศทาง จะได้ระยะทางประมาณ 50 เมตร แต่ถ้าเป็นการใช้กันแบบจุดต่อจุดหรือนอกสถานที่ ก็จะมีการออกแบบให้ใช้สายอากาศแบบกำหนดทิศทาง ให้ได้ระยะทางมากกว่า 10 กม.ได้

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เส้นใยแก้วนำแสง (fiber optic)

จุดเด่นของเส้นใยแก้วนำแสงจุดเด่นของเส้นใยแก้วนำแสงมีหลายประการ โดยเฉพาะจุดที่ได้เปรียบสายตัวนำทองแดง ที่จะนำมาใช้แทนตัวนำทองแดง จุดเด่นเหล่านี้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งประกอบด้วยความสามารถในการรับส่งข้อมูลข่าวสารเส้นใยแก้วนำแสงที่เป็นแท่งแก้วขนเหล็ก มีการโค้งงอได้ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใช้กันมากคือ 62.5/125 ไมโครเมตร เส้นใยแก้วนำแสงขนาดนี้เป็นสายที่นำมาใช้ภายในอาคารทั่วไป เมื่อใช้กับคลื่นแสงความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร จะส่งสัญญาณได้มากกว่า 160 เมกะเฮิรตซ์ ที่ความยาว 1 กิโลเมตร แล้วถ้าใช้ความยาวคลื่น 1300 นาโนเมตร จะส่งสัญญาณได้กว่า 500 นาโนเมตร ที่ความยาว 1 กิโลเมตร และถ้าลดความยาวเหลือ 100 เมตร จะใช้กับความถี่สัญญาณมากกว่า 1 กิกะเฮิรตซ์ ดังนั้นจึงดีกว่าสายยูทีพีแบบแคต 5 ที่ใช้กับสัญญาณได้ 100 เมกะเฮิรตซ์กำลังสูญเสียต่ำเส้นใยแก้วนำแสงมีคุณสมบัติในเชิงการให้แสงวิ่งผ่านได้ การบั่นทอนแสงมีค่าค่อนค่างต่ำ ตามมาตรฐานของเส้นใยแก้วนำแสง การใช้เส้นสัญญาณนำแสงนี้ใช้ได้ยาวถึง 2000 เมตร หากระยะทางเกินกว่า 2000 เมตร ต้องใช้รีพีตเตอร์ทุก ๆ 2000 เมตร การสูญเสียในเรื่องสัญญาณจึงต่ำกว่าสายตัวนำทองแดงมาก ที่สายตัวนำทองแดงมีข้อกำหนดระยะทางเพียง 100 เมตรหากพิจารณาในแง่ความถี่ที่ใช้ ผลตอบสนองทางความถึ่มีผลต่อกำลังสูญเสีย โดยเฉพาะในลวดตัวนำทองแดง เมื่อใช้เป็นสายสัญญาณ คุณสมบัติของสายตัวนำทองแดงจะเปลี่ยนแปลงเมื่อใช้ความถี่ต่างกัน โดยเฉพาะเมื่อใช้ความถึ่ของสัญญาณที่ส่งในตัวนำทองแดงสูงขึ้น อัตราการสูญเสียก็จะมากตามแต่กรณีของเส้นใยแก้วนำแสงเราใช้สัญญาณความถี่มอดูเลตไปกับแสง การเปลี่ยนสัญญาณรับส่งข้อมูลจึงไม่มีผลกับกำลังสูญเสียทางแสงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่สามารถรบกวนได้ปัญหาที่สำคัญของสายสัญญาแบบทองแดงคือการเหนี่ยวนำโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ปัญหานี้มีมาก ตั้งแต่เรื่องการรบกวนระหว่างตัวนำหรือเรียกว่าครอสทอร์ค การำม่แมตซ์พอดีทางอิมพีแดนซ์ ทำให้มีคลื่นสะท้อนกลับ การรบกวนจากปัจจัยภายนอกที่เรียกว่า EMI ปัญหเหล่านี้สร้างให้ผู้ใช้ต้องหมั่นดูแลแต่สำหรับเส้นใยแก้วนำแสงแล้วปัญหาเรื่องเหล่านี้จะไม่มี เพราะแสงเป็นพลังงานที่มีพลังงานเฉพาะและไม่ถูกรบกวนของแสงจากภายนอกน้ำหนักเบาเส้นใยแก้วนำแสงมีน้ำหนักเบากว่าเส้นลวดตัวนำทองแดง น้ำหนักของเส้นใยแก้วนำแสงขนาด 2 แกนที่ใช้ทั่วไปมีน้ำหนักเพียงประมาณ 20 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของสายยูทีพีแบบแคต 5ขนาดเล็กเส้นใยแก้วนำแสงมีขนาดทางภาคตัดขวางแล้วเล็กกว่าลวดทองแดงมาก ขนาดของเส้นใยแก้วนำแสงเมื่อรวมวัสดุหุ้มแล้วมีขนาดเล็กกว่าสายยูทีพี โดยขนาดของสายใยแก้วนี้ใช้พื้นที่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของเส้นลวดยูทีพีแบบแคต 5มีความปลอดภัยในเรื่องข้อมูลสูงกว่าการใช้เส้นใยแก้วนำแสงมีลักษณะใช้แสงเดินทางในข่าย จึงยากที่จะทำการแท๊ปหรือทำการตัดฟังข้อมูลมีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน การที่เส้นใยแก้วเป็นฉนวนทั้งหมด จึงไม่นำกระแสไฟฟ้า การลัดวงจร การเกิดอันตรายจากกระแสไฟฟ้าจึงไม่เกิดขึ้นความเข้าใจผิดบางประการแต่เดิมเส้นใยแก้วนำแสงมีใช้เฉพาะในโครงการใหญ๋ หรือใช้เป็นเครือข่ายแบบแบ็กโบน เทคโนโลยีเกี่ยวกับเส้นใยแก้วนำแสงก็ยังไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก ทำให้เกิดความเข้าใจผิดบางประการเกี่ยวกับคุณสมบัติและการประยุกต์ใช้งานแตกหักได้ง่ายด้วยความคิดที่ว่า "แก้วแตกหังได้ง่าย" ความคิดนี้จึงเกิดขึ้นกับเส้นใยแก้วด้วย เพราะวัสดุที่ทำเป็นแก้ว ความเป็นจริงแล้วเส้นใยแก้วมีความแข็งแรงและทนทานสูงมาก การออกแบบใยแก้วมีเส้นใยห้อมล้อมไว้ ทำให้ทนแรงกระแทก นอกจากนี้แรงดึงในเส้นใยแก้วยังมีความทนทานสูงกว่าสายยูทพี หากเปรียบเทียบเส้นใยแก้วกับสายยูทีพีแล้วจะพบว่า ข้อกำหนดของสายยูทีพีคุณสมบัติหลายอย่างต่ำกว่าเส้นใยแก้ว เช่น การดึงสาย การหักเลี้ยวเพราะลักษณะคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่ความถี่สูงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่าเส้นใยแก้วนำแสงมีราคาแพงแนวโน้มทางด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงราคาของเส้นใยแก้วนำแสงลดลง จนในขณะนี้ยังแพงกว่าสายยูททีพีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนักนอกจากนี้หลายคนยังเข้าใจว่า การติดตั้งเส้นใยแก้วนำแสงมีข้อยุ่งยาก และต้องใช้คนที่มีความรู้ความชำนาญ เสียค่าติตั้งแพง ความคิดนี้ก็คงไม่จริง เพราะการติดตั้งทำได้ไม่ยากนักเนื่องจากมีเครื่องมือพิเศษช่วยได้มาก เครื่องมือพิเศษนี้สามารถเข้าหัวสายได้โดยง่ายกว่าแต่เดิมมาก อีกทั้งราคาเครื่องมือก็ถูกลงจนมีผู้รับติดตั้งได้ทั่วไปเส้นใยแก้วนำแสงยังไม่สามารถใช้กับเครื่องที่ตั้งโต๊ะได้ปัจจุบันพีซีที่ใช้ส่วนใหญ่ต่อกับแลนแบบอีเธอร์เน็ต ซึ่งได้ความเร็ว 10 เมกะบิต การเชื่อมต่อกับแลนมีหลายมาตรฐาน โดยเฉพาะปัจจุบันหากใช้ความเร็วเกินกว่า 100 เมกะบิต สายยูทีพีรองรับไม่ได้ เช่น เอทีเอ็ม 155 เมกะบิต แนวโน้มของการใช้งานระบบเครือข่ายมีทางที่ต้องใช้แถบกว้างสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องการให้พีซีเป็นมัลติมีเดียเพื่อแสดงผลเป็นภาพวิดีโอ การใช้เส้นใยแก้วนำแสงดูจะเป็นทางออก พัฒนการของการ์ดก็ได้พัฒนาไปมากเอทีเอ็มการ์ดใช้ความเร็ว 155 เมกะบิต ย่อมต้องใช้เส้นใยแก้วนำแสงรองรับ การใช้เส้นใยแก้นำแสงยังสามารถใช้ในการส่งรับวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ หรือสัญญาณประกอบอื่น ๆ ได้ดีเส้นใยแก้วนำแสงมีกี่แบบคุณสมบัติของเส้นใยแก้วนำแสงแบ่งแยกได้ตามลักษณะคุณสมบัติของตัวนำแสงที่มีลักษณะการให้แสงส่องทะลุในลักษณะอย่างไร คุณสมบัติของเนื้แก้วนี้จะกระจายแสงออก ซึ่งในกรณีนี้การสะท้อนของแสงกลับต้องเกิดขึ้น โดยผนังแก้วด้านข้างต้องมีดัชนีหักเหของแสงที่ทำให้แสงสะท้อนกลับ เพื่อลดการสูญเสียของพลังงานแสง วิธีการนี้เราแบ่งแยกออกเป็นสองแบบคือ แบบซิงเกิลโหมด และมัลติโหมดซิงเกิลโหมดเป็นการใช้ตัวนำแสงที่บีบลำแสงให้พุ่งตรงไปตามท่อแก้ว โดยมีการกระจายแสงออกทางด้านข้างน้อยที่สุด ซิงเกิลโหมดจึงเป็นเส้นใยแก้วนำแสงที่มีกำลังสูญเสียทางแสงน้อยที่สุด เหมาะสำหรับในการใช้กับระยะทางไกล ๆ การเดินสายใยแก้วนำแสงกับระยะทางไกลมาก เช่น เดินทางระหว่างประเทศ ระหว่างเมือง มักใช้แบบซิงเกิลโหมด

รูปที่ 1 เส้นใยแก้วนำแสงแบบซิงเกิลโหมดมัลติโหมดเป็นเส้นใยแก้วนำแสงที่มีลักษณะการกระจายแสงออกด้านข้างได้ ดังนั้นจึงต้องสร้างให้มีดัชนีหักเหของแสงกับอุปกรณ์ฉาบผิวที่สัมผัสกับเคล็ดดิงให้สะท้อนกลับหมด หากการให้ดัชนีหักเกของแสงมีลักษณะทำให้แสงเลี้ยวเบนทีละน้อยเราเรียกว่าแบบเกรดอินเด็กซ์ หากให้แสงสะท้อนดยไม่ปรับคุณสมบัติของแท่งแก้วให้แสงค่อยเลี้ยวเบนก็เรียกว่าแบบ สเต็ปอินเด็กซ์เส้นใยแก้วนำแสงที่ใช้ในเครือข่ายแลน ส่วนใหญ่ใช้แบบมัลติโหมด โดยเป็นขนาด 62.5/125 ไมโครเมตร หมายถึงเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อแก้ว 62.5 ไมโครเมตร และของแคล็ดดิงรวมท่อแก้ว 125 ไมโครเมตรคุณสมบัติของเสันใยแก้วนำแสงแบบสแต็ปอินเด็กซ์มีการสูญเสียสูงกว่าแบบเกรดอินเด็กซ์

รูปที่ 2 เส้นใยแก้วนำแสงแบบมัลติโหมดตัวส่งแสงและรับแสงการใช้เส้นใยแก้วนำแสงจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณแสงอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณแสงหรือเป็นแหล่งกำเนิดแสงคือ LED หรือเลเซอร์ไดโอด อุปกรณ์ส่งแสงนี้ทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นไฟฟ้าให้เป็นคลื่นแสง ส่วนอุปกรณ์รับแสงและเปลี่ยนกลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้า คือโฟโต้ไดโอดอุปกรณ์ส่งแสงหรือ LED ใช้พลังงานเพียง 45 ไมโครวัตต์ สำหรับใช้กับเส้นใยแก้วนำแสงแบบ 62.5/125 การพิจารณาอุปกรณ์นี้ต้องดูที่แถบคลื่นแสง โดยปกติใช้คลื่นแสงย่านความยาวคลื่นประมาณ 830 ถึง 850 นาโนเมตร หรือมีแถบกว้างประมาณ 25-40 นาโนเมตร ดังนั้นข้อกำหนดเชิงพิกัดของเส้นใยแก้วนำแสงจึงกล่าวถึงความยาวคลื่นแสงที่ใช้ในย่าน 850 นาโนเมตรตัวรับแสงหรือโฟโต้ไดโอดเป็นอุปกรณ์ที่ใช้รับสัญญาณแสงและมีความไวต่อความเข้มแสง คลื่นแสงที่ส่งมามีการมอดูเลตสัญญาณข้อมูลเข้าไปร่วมด้วยอุปกรณ์ตัวรับและตัวส่งแสงนี้มักทำมาสำเร็จเป็นโมดูล โดยเฉพาะเชื่อมต่อเข้ากับสัญญาณข้อมูลที่เป็นไฟฟ้าได้โดยตรง และทำให้สะดวกต่อการใช้งาน
รูปที่ 3 โครงสร้างของเส้นใยแก้วนำแสงการเชื่อมต่อ และหัวต่อที่ปลายสายแต่ละเส้นจะมีหัวต่อที่ใช้เชื่อมต่อกับเส้นใยแก้วนำแสง แสงจะผ่านหัวต่อไปยังอีกหัวต่อโดยเสมือนเชื่อมต่อกันเป็นเส้นเดียวได้เมื่อเอาเส้นใยแก้วมาเข้าหัวที่ปลายแก้วจะมีลักษณะที่ส่งสัญญาณแสงออกมาได้ และต้องให้กำลังสูญเสียต่ำที่สุด ดังนั้นจึงมีวิธีที่จะทำให้ปลายท่อแก้วราบเรียบที่จะเชื่อมสัญญาณแสงต่อไปได้

รปที่4 การฝนปลายก่อนเข้าหัวสายการกระทำแต่ละแบบจะให้การลดทอนสัญญาณต่างกัน และยังต้องให้มีแสงสะท้อนกลับน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ลักษณะของหัวต่อเมื่อเชื่อมถึงกันแล้วจะต้องให้ผิวสัมผัสการส่งแสงทะลุถึงกัน เพื่อให้กำลังสูญเสียความเข้มแสงน้อยสุด โดยปกติหัวต่อที่ทำการฝนแก้วแบบแบนราบมีกำลังสูญเสียสูงกว่าแบบอื่น คือประมาณ -30 dB แบบ PC มีการสูญเสียประมาณ -40dB และแบบ APC มีการสูญเสียความเข้มน้อยสุดคือ -50 dBลักษณะของหัวต่อเมื่อเชื่อมต่อถึงกันแสดงดังรูปที่ 5
รูปที่ 5 เมื่อให้ปลายหัวต่อเชื่อมกันระหว่างแบบตัวผู้และตัวเมียการประยุกต์ใช้เส้นใยแก้วนำแสงแนวโน้มการใช้งานเส้นใยแก้วนำแสงได้เป็นรูปธรรมที่เด่นชัดขึ้น ทั้งนี้เพราะมีผู้พัฒนาเทคโนโลยีให้รองรับกับการใช้เส้นใยแก้วนำแสง โดยเน้นที่ความเร็วของการรับส่งสัญญาณ เส้นใยแก้วนำแสงมีข้อเด่นในเรื่องความเชื่อถือสูง เพราะปราศจากการรบกวน อีกทั้งยังสามารถใช้กับเทคโนโลยีได้หลากหลายและรองรับสิ่งที่จะเกิดใหม่ในอนาคตได้มาก

รูปที่ 6 หัวต่อเส้นใยแก้วนำแสงแบบ STตัวอย่างการใช้งานต่อไปนี้เป็นรูปแบบให้เห็นตัวอย่างของการประยุกต์ใช้ในอาคารในสำนักงาน โดยสามารถเดินสายสัญญาณด้วยเส้นใยแก้นำแสงตามมาตรฐานสากล คือมีสายในแนวดิ่ง และสายในแนวราบ สายในแนวดิ่งเชื่อมโยงระหว่างชั้น ส่วนสายในแนวราบเป็นการเชื่อมจากผู้ใช้มาที่ชุมสายแต่ละชั้นรูปแบบไดอะแกรมการเดินสายทั่วไปประกอบด้วยโครงสร้างดังรูปที่ 7
จากลักษณะของการเดินสายตามมาตรฐาน EIA 586 นี้ สามารถนำมาใช้กับเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้มาก เช่น การใช้เทคโนโลยี 10BASE Fการใช้อีเธอร์เน็ตแบบ 10BASE F เป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาให้ใช้แบบเทคโนโลยีอีเธอร์เน็ตโดยตรง ความเร็วสัญญาณยังคงอยู่ที่ 10 เมกะบิต และหากเป็น 10BASE F ก็เป็นความเร็ว 10 เมกะบิต ขณะนี้มีการพัฒนาระบบอีเธอร์เน็ตให้เป็นแบบกิกะบิตอีเธอร์เน็ต หรือความเร็วสัญญาณอยู่ที่ 1,000 เมกะบิต การเดินสายด้วยเส้นใยแก้วนำแสงมีลักษณะเหมือนกับสายยูทีพี โดยใช้ชิปเป็นตัวกระจายพอร์ตต่าง ๆ ดังแสดงในรูปที่ 8

รูปที่ 8 โครงสร้างการเดินสายสัญญาณเพื่อใช้กับเส้นใยแก้วนำแสงFDDIเทคโนโลยีนี้มีใช้มานานแล้ว เป็นเทคโนโลยีที่มีความเร็วของสัญญาณที่ 100 เมกะบิต และใช้สายสัญญาณเป็นเส้นใยแก้วนำแสง มีโครงสร้างเป็นวงแหวนสองชั้นและแตกกระจายออก การเดินสายสัญญาณตามมาตรฐาน EIA 568 ก็จัดให้เข้ากับ FDDI ได้ง่าย FDDI มีข้อดีคือสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายระยะไกลได้ มีจำนวนโหนดบน FDDI ได้ถึง 1,000 โหนด การจัดโครงสร้างต่าง ๆ ของ FDDI สามารถทำผ่านทางแพตช์ที่เชื่อมต่อให้ได้รูปตามที่ FDDI ต้องการ ในลูปวงแหวนหลักของ FDDI ต้องการวงแหวนสองชั้น ซึ่งก็ต้องใช้เส้นใยแก้วนำแสงจำนวนทั้งหมด 4 ลำแสง FDDI ยังเป็นเครือข่ายหลักหรือแบ็กโบนเพื่อเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายอื่นได้ เช่น เชื่อมต่อกับอีเธอร์เน็ต กับโทเค็นริง ไดอะแกรมของ FDDI แสดงดังรูปที่ 9

รูปที่ 9 ไดอะแกรมการเชื่อมโยงของ FDDIATMเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาเพื่อรองรับการใช้งานที่ความเร็วสูงมาก เอทีเอ็มสามารถใช้ได้กับความเร็ว 155 เมกะบิต 622 เมกะบิต และสูงเกินกว่ากิกะบิตในอนาคต โครงสร้างการเดินสายเอทีเอ็มมีลักษณะแบบดาว เป็นโครงสร้างการกระจายสายสัญญาณซึ่งตรงกับสภาพการใช้เส้นใยแก้วนำแสงอยู่แล้วลักษณะของแพตช์และการกระจายสายสัญญาณเพื่อใช้กับเส้นใยแก้วนำแสงในลักษณะที่ปรับเปลี่ยนเข้ากับเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้แสดงไว้ในรูปที่ 10 การวางโครงสร้างของสายสัญญาณเส้นใยแก้วจึงไม่แตกต่างกับสายยูทีพี

รูปที่ 10 การวางโครงสร้างสายเพื่อเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่าง ๆอนาคตต้องเป็นเส้นใยแก้วนำแสง
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันมีการใช้งานสายยูทีพีอย่างแพร่หลายและได้ประโยชน์มหาศาสล แต่จากการพัฒนาเทคโนโลยีที่ต้องการให้ถนนของข้อมูลข่าวสารเป็นถนนขนาดใหญ่ที่เรียกว่าซูเปอร์ไฮเวย์ การรองรับข้อมูลจำนวนมากและการประยุกต์ในรูปแบบมัลติมีเดียที่กำลังจะเกิดขึ้นย่อมต้องทำให้สภาพการใช้ข้อมูลข่าวสารต้องพัฒนาให้รองรับกับจำนวนปริมาณข้อมูลที่จะมีมากขึ้น จึงเชื่อแน่ว่า เส้นใยแก้วนำแสงจะเป็นสายสัญญาณที่ก้าวเข้ามาในยุคต่อไป และจะมีบทบาทเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นแล้วเราคงจะได้เห็นอาคารบ้านเรือน สำนักงาน หรือโรงงาน มีเส้นใยแก้วนำแสงเดินกระจายกันทั่วเหมือนกับที่เห็นสายไฟฟ้ากำลังอยู่ในขณะนี้และเหตุการณ์เหล่านี้คงจะเกิดขึ้นใน

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เรียนวันอังคารที่ 5 สค 51

  • 1. Router มีกี่โหมด อะไรบ้าง อธิบายให้ละเอียด
    ตอบ 1. Router มีกี่โหมด อะไรบ้าง

    Routing มีอยู่ 2 แบบ หลักๆ ได้แก่-
    แบบสเตติก (Static Route)- แบบไดนามิก (Dynamic Route)
    Static คือ


    การเลือกเส้นทางแบบ Static นี้ การกำหนดเส้นทางการคำนวณเส้นทางทั้งหมด
    กระทำโดยผู้บริหาจัดการเครือข่าย
    ค่าที่ถูกป้อนเข้าไปในตารางเลือกเส้นทางนี้มีค่าที่ตายตัว
    ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใดๆ บนเครือข่าย จะต้องให้ผู้บริหารจัดการดูแล
    เครือข่า เข้ามาจัดการทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีการใช้ วิธีการทาง Static เช่นนี้
    มีประโยชน์เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมดังนี้

    -เหมาะสำหรับเครือข่ายที่มีขนาดเล็ก
    -เพื่อผลแห่งการรักษาความปลอดภัยข้อมูล เนื่องจากสามารถแน่ใจว่า
    ข้อมูลข่าวสารจะต้องวิ่งไปบนเส้นทางที่กำหนดไว้ให้ ตายตัว-ไม่ต้องใช้ Software
    เลือกเส้นทางใดๆทั้งสิ้น
    -ช่วยประหยัดการใช้ แบนวิดท์ของเครือข่ายลงได้มาก
    เนื่องจากไม่มีปัญหาการ Broadcast หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง Router
    ที่มาจากการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทาง

    การจัดตั้ง Configuration
    สำหรับการเลือกเส้นทางแบบ Staticเป็นที่ทราบดีแล้วว่า การเลือกเส้นทางแบบ
    Static
    เป็นลักษณะการเลือกเส้นทางที่ถูกกำหนดโดยผู้จัดการเครือข่าย
    เพื่อกำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่ตายตัว หรือเจาะจงเส้นทางปกติ Router
    สามารถ Forward Packet ไปข้างหน้า บนเส้นทางที่มันรู้จักเท่านั้น
    ดังนั้นการกำหน
    ดเส้นทางเดินของแพ็กเก็ตให้กับ Router
    จึงควรให้ความระมัดระวังวิธีการจัด Configure
    แบบ Static Route ให้กับ Router
    Cisco ให้ใส่คำสั่งip route ลงไปที่ Global
    Configuration Mode
    มีตัวอย่างการใช้คำสั่ง ดังนี้

    ip route network [ mask
    ] {address
    interface} [distance] [permanent]
    -Network เครือข่าย หรือ Subnet
    ปลายทาง
    -Mask หมายถึงค่า Subnet mask-Address IP Address ของ Router ใน Hop
    ต่อไป
    -Interface ชื่อของ Interface ที่ใช้เพื่อเข้าถึงที่หมายปลายทาง
    -Distance
    หมายถึง Administrative Distance
    -Permanent เป็น Option
    ถูกใช้เพื่อกำหนด
    เส้นทางที่ตั้งใจว่าจะไม่มีวันถอดถอนทิ้ง ถึงแม้ว่า
    จะปิดการใช้งาน Interface
    ก็ตาม


    dynamic คือ
    Exterior Gateway
    Routing Protocol
    Distance Vector Routing Protocol
    Link State Routing
    Protocol
    เนื่องจาก จุดประสงค์ของการเขียนบทความนี้
    ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านมีแนวคิดในการจัดตั้งเครือข่ายและอุปกรณ์ Router
    เพื่อเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย และเนื่องจากขอบข่ายของหลักวิชาการด้านนี้
    ค่อนข้างกว้าง จึงขอตีกรอบให้แคบลง
    โดยจะขอกล่าวถึงรายละเอียดเพียงบางส่วนในการจัดตั้ง Router
    ที่ท่านสามารถนำไปใช้ได้
    รู้จักกับ Distance Vector Routing Protocol Distance
    Vector
    เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางที่ Router ใช้เพื่อการสร้างตาราง Routing
    และจัดการนำแพ็กเก็ต ส่งออก ไปยังเส้นทางที่กำหนด โดย
    อาศัยข้อมูลเกี่ยวกับระยะทาง
    เช่น Hop เป็นตัวกำหนดว่า
    เส้นทางใดเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด
    ที่จะนำแพ็กเก็ตส่งออกไปที่ปลายทาง โดยถือว่า
    ระยะทางที่ใกล้ที่สุด
    เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด และแอดเดรส
    ของเครือข่ายปลายทางเป็น Vector


    Distance Vector บางครั้งจะถูกเรียกว่า
    "Bellman-Ford Algorithm"
    ซึ่งโปรโตคอลนี้ จะทำให้ Router แต่ละตัว
    ที่อยู่บนเครือข่ายจะต้องเรียนรู้ลักษณะของ Network Topology โดยการแลกเปลี่ยน
    Routing Information ของตัวมันเอง กับ Router ที่เชื่อมต่อกันเป็นเพื่อนบ้าน
    โดยตัว
    Router เองจะต้องทำการจัดสร้างตารางการเลือกเส้นทางขึ้นมา โดยเอาข้อมูล
    ข่าวสารที่ได้รับจากเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรง (
    ข้อมูลนี้ครอบคลุมไปถึงระยะทางระหว่าง Router
    ที่เชื่อมต่อกัน)หลักการทำงานได้แก่การที่ Router จะส่งชุด สำเนาที่เป็น
    Routing
    Information ชนิดเต็มขั้นของมันไปยัง Router ตัวอื่นๆ
    ที่เชื่อมต่ออยู่กับมันโดยตรง
    ด้วยการแลกเปลี่ยน Routing Information กับ
    Router ตัวอื่นๆ
    ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงนี้เอง ทำให้ Router แต่ละตัว
    จะรู้จักซึ่งกันและกัน
    หรือรู้เขารู้เรา กระบวนการแลกเปลี่ยนนี้
    จะดำเนินต่อไปเป็นห้วงๆ ของเวลาที่แน่นอน


    Distance Vector Algorithm
    ค่อนข้างเป็นแบบที่เรียบง่าย
    อีกทั้งออกแบบเครือข่ายได้ง่ายเช่นกัน
    ปัญหาหลักของของ Distance Vector Algorithm
    ได้แก่ การคำนวณเส้นทาง
    จะซับซ้อนขึ้น เมื่อขนาดของเครือข่ายโตขึ้น
    ตัวอย่างของโปรโตคอลที่ทำงานภายใต้
    Distance Vector Algorithm ได้แก่ อาร์ไอพี
    (RIP) หรือ Routing Information
    ProtocolLink State RoutingLink State Routing
    ถูกเรียกว่า "Shortest Path
    First (SPF)" Algorithm ด้วย Link State Routing นี้
    Router แต่ละตัวจะทำการ
    Broadcast ข้อมูลข่าวสารออกมายัง Router
    ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงแบบเป็นระยะๆ
    ข้อมูลข่าวสารนี้ยังครอบคลุมไป
    ถึงสถานะของการเชื่อมต่อระหว่างกันด้วยวิธีการของ
    Link State นี้ Router
    แต่ละตัวจะทำการสร้างผังที่สมบูรณ์ของเครือข่ายขึ้น จากข้อมูลที่มันได้รับจาก
    Router อื่นๆทั้งหมด จากนั้นจะนำมาทำการคำนวณเส้นทางจากผังนี้โดยใช้ Algorithm
    ที่เรียกว่า Dijkstra Shortest Path AlgorithmRouter
    จะเฝ้าตรวจสอบดูสถานะของการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่อง
    โดยการแลกเปลี่ยนระหว่างแพ็กเก็ตกับ Router เพื่อนบ้าน แต่หาก Router
    ไม่ตอบสนองต่อความพยายามที่จะติดต่อด้วย หลายๆครั้ง
    การเชื่อมต่อก็จะถือว่าตัดขาดลง
    แต่ถ้าหากสถานะ ของ Router
    หรือการเชื่อมต่อเกิดการเปลี่ยนแปลง
    ข้อมูลข่าวสารนี้จะถูก Broadcast ไปยัง
    Router ทั้งหมดที่อยู่ในเครือข่ายการจัดตั้ง
    Configure ให้กับวิธี
    การจัดเลือกเส้นทางแบบ
    Dynamicในการจัดตั้งค่าสำหรับการเลือกเส้นทาง (Routing)
    แบบ Dynamic จะมี


    2 คำสั่งสำหรับการใช้งาน ได้แก่ คำสั่ง Router และ
    Network โดยคำสั่ง
    Router
    เป็นคำสั่งที่ทำให้เริ่มต้นการเกิดกระบวนการเลือกเส้นทางขึ้น
    รูปแบบของคำสั่งมีดังนี้
    Router (config)#router protocol
    [keyword]ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายรายละเอียดของรูปแบบคำสั่งProtocol
    เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบใดแบบหนึ่ง ระหว่าง
    RIP IGRP OSPF หรือ
    Enhanced
    IGRPKeyword ตัวอย่าง เช่น เลขหมายของ Autonomous
    ซึ่งจะถูกนำมาใช้กับโปรโตคอลที่ต้องการระบบ Autonomous ได้แก่ โปรโตคอล
    IGRPคำสั่ง
    Network ก็เป็นคำสั่งที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานเช่นกัน
    เนื่องจากมันสามารถกำหนดว่า Interface ใดที่จะเกี่ยวข้องกับการรับหรือส่ง
    Packet
    เพื่อการ Update ตารางเลือกเส้นทาง
    ขณะเกิดกระบวนการเลือกเส้นทางขึ้นคำสั่ง Network
    จะเป็นคำสั่งที่ทำให้
    โปรโตคอลเลือกเส้นทางเริ่มต้นทำงานบน Interface ต่างๆ ของ
    Router
    อีกทั้งยังทำให้ Router สามารถโฆษณาประชาสัมพันธ์เครือข่ายที่ตนดูแลอยู่
    ได้อีกด้วย
    รูปแบบของคำสั่งมีดังนี้
    Router
    (config-router)#networknetwork- number
    Network-number ในที่นี้หมายถึง
    เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันโดยตรง และ
    Network Number จะต้องอยู่ในมาตรฐาน
    เลขหมาย ของ INTERNIC

    2.จงบอกคำสั่งในแต่ละโหมดมาอย่างน้อย 5 คำสั่ง
    ตอบ คำสั่ง
    access-enable
    เป็นการสร้าง Access List entry ชั่วคราว
    clear
    เป็นการ reset ค่า configure ต่างๆที่ท่านสร้างขึ้นชั่วคราว
    connect
    ใช้เพื่อ เปิด connection กับ terminal
    disableปิดหรือยกเลิกคำสั่งที่อยู่ใน Privileged mode
    disconnect
    ยกเลิกการเชื่อมต่อใดๆกับ networkenableเข้าสู่ privileged Exec mode
    exit
    ออกจากการใช้ User Exec modehelpใช้เพื่อแสดงรายการ help
    lat
    เปิดการเชื่อมต่อกับ LAT (เครือข่าย VAX)
    lock
    ใช้เพื่อ lock terminal
    login
    loginเข้ามาเป็น user
    logout
    exit ออกจาก EXEC
    mrinfoใช้เพื่อการร้องขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Version และสถานะของ Router
    เพื่อนบ้านจาก multicast router ตัวหนึ่ง
    mstat
    แสดงสถิติหลังจากที่ได้ตามรอยเส้นทางแบบ Multicast ของ Router แล้ว
    mtrace
    ใช้ติดตามดู เส้นทาง Multicast แบบย้อนกลับจาก ปลายทางย้อนกลับมาที่ต้นทาง
    name-connection
    เป็นการให้ชื่อกับ
    การเชื่อมต่อของเครือข่ายที่กำลังดำเนินอยู่
    pad
    เปิดการเชื่อมต่อ X.25
    ด้วย X.29 PAD
    Ping
    ใช้เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อ
    ppp
    ใช้เรียกการเชื่อมต่อแบบ
    PPP
    resume
    ใช้เพื่อการ
    กลับเข้าสู่การเชื่อมต่อของเครือข่ายอีกครั้งrloginเปิดการเชื่อมต่อ remote
    Login
    กับ Server ระยะไกล
    show
    แสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำงานของ
    Router
    ในปัจจุบัน
    slip
    เริ่มการใช้งาน Slip (serial line protocol)
    systat
    เป็นการแสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Terminal Line เช่นสถานะของระบบ
    telnet
    เป็นการเปิด การเชื่อมต่อทาง Telnet
    terminal
    เป็นการจัด
    Parameter ของ
    Terminal Line
    traceroute
    เป็นการใช้ Traceroute
    เพื่อการติดตามไปดู
    ระบบที่อยู่ปลายทางtunnelเปิดการเชื่อมต่อแบบ Tunnel
    where
    แสดงรายการ ของ
    Link ที่กำลัง Active ในปัจจุบัน


    3. Command prompt ในโหมดต่างๆ
    ตอบ
    Command Mode
    Command Mode หลักภายใน
    Cisco IOS ได้แก่
    User Exec Mode
    Privileged Exec Mode
    Global
    Configuration Mode
    Interface
    ConfigurationBoot Mode

    4. Use exec mode
    พร้อมรายละเอียด

    ตอบ

    Command Mode หลักภายใน Cisco IOS
    ได้แก่

    User Exec Mode

    Privileged Exec Mode

    Global Configuration Mode

    Interface ConfigurationBoot
    Mode

    User Exec ModeUser Exec Mode
    เป็นโหมดแรกที่ท่านจะต้อง Enter เข้าไป เมื่อ

    Router เริ่มทำงาน วิธีที่จะรู้ว่าท่านได้เข้าสู่
    User Exec Mode จาก Prompt ของ Router ได้แก่ Prompt ที่แสดงบนหน้าจอ ได้แก่
    ชื่อของ Router แล้วตามด้วยเครื่องหมาย > เช่น

    Routerhostname >

    ต่อไปนี้ เป็นตารางแสดงรายการคำสั่ง ภายใต้ User
    Exec Commands

    ตารางที่ 1แสดงรายการคำสั่ง ภายใต้ User Exec
    Commandsคำสั่ง

    access-enable

    เป็นการสร้าง Access List entry
    ชั่วคราว

    clear

    เป็นการ reset ค่า configure
    ต่างๆที่ท่านสร้างขึ้นชั่วคราว

    connect

    ใช้เพื่อ เปิด connection กับ
    terminal

    disable

    ปิดหรือยกเลิกคำสั่งที่อยู่ใน Privileged
    mode

    disconnect

    ยกเลิกการเชื่อมต่อใดๆกับ
    network

    enable

    เข้าสู่ privileged Exec mode

    exit

    ออกจากการใช้ User Exec mode

    help

    ใช้เพื่อแสดงรายการ help

    lat

    เปิดการเชื่อมต่อกับ LAT (เครือข่าย
    VAX)

    lock

    ใช้เพื่อ lock terminal

    login

    loginเข้ามาเป็น user

    logout

    exit ออกจาก EXEC

    mrinfo

    ใช้เพื่อการร้องขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Version
    และสถานะของ Router เพื่อนบ้านจาก multicast router ตัวหนึ่ง

    mstat

    แสดงสถิติหลังจากที่ได้ตามรอยเส้นทางแบบ
    Multicast ของ Router แล้ว

    mtrace

    ใช้ติดตามดู เส้นทาง Multicast แบบย้อนกลับจาก
    ปลายทางย้อนกลับมาที่ต้นทาง

    name-connection

    เป็นการให้ชื่อกับ
    การเชื่อมต่อของเครือข่ายที่กำลังดำเนินอยู่

    pad

    เปิดการเชื่อมต่อ X.25 ด้วย X.29
    PAD

    Ping

    ใช้เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อ

    ppp

    ใช้เรียกการเชื่อมต่อแบบ PPP

    resume

    ใช้เพื่อการ
    กลับเข้าสู่การเชื่อมต่อของเครือข่ายอีกครั้ง

    rlogin

    เปิดการเชื่อมต่อ remote Login กับ Server
    ระยะไกล

    show

    แสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำงานของ Router
    ในปัจจุบัน

    slip

    เริ่มการใช้งาน Slip (serial line
    protocol)

    systat

    เป็นการแสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Terminal Line
    เช่นสถานะของระบบ

    telnet

    เป็นการเปิด การเชื่อมต่อทาง
    Telnet

    terminal

    เป็นการจัด Parameter ของ Terminal
    Line

    traceroute

    เป็นการใช้ Traceroute เพื่อการติดตามไปดู
    ระบบที่อยู่ปลายทางtunnelเปิดการเชื่อมต่อแบบ Tunnel

    where

    แสดงรายการ ของ Link ที่กำลัง Active
    ในปัจจุบัน

    5.คำสั่งที่ใช้ตรวจสอบสถานะของRout
    จงบอกอย่างน้อย 5 คำสั่ง

    ตอบ

    access-enable

    เป็นการสร้าง Access List entry
    ชั่วคราว

    clear

    เป็นการ reset ค่า configure
    ต่างๆที่ท่านสร้างขึ้นชั่วคราว

    connect

    ใช้เพื่อ เปิด connection กับ
    terminal

    disable

    ปิดหรือยกเลิกคำสั่งที่อยู่ใน Privileged
    mode

    disconnect

    ยกเลิกการเชื่อมต่อใดๆกับ
    network

    enable

    เข้าสู่ privileged Exec mode

    exit

    ออกจากการใช้ User Exec mode

    help

    ใช้เพื่อแสดงรายการ help

    lat

    เปิดการเชื่อมต่อกับ LAT (เครือข่าย
    VAX)

    lock

    ใช้เพื่อ lock terminal

    login

    loginเข้ามาเป็น user

    logout

    exit

    ออกจาก EXEC

    mrinfo

    ใช้เพื่อการร้องขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Version
    และสถานะของ Router เพื่อนบ้านจาก multicast router ตัวหนึ่ง

    mstat

    แสดงสถิติหลังจากที่ได้ตามรอยเส้นทางแบบ
    Multicast ของ Router แล้วmtraceใช้ติดตามดู เส้นทาง Multicast แบบย้อนกลับจาก
    ปลายทางย้อนกลับมาที่ต้นทาง

    name-connection

    เป็นการให้ชื่อกับ
    การเชื่อมต่อของเครือข่ายที่กำลังดำเนินอยู่

    pad

    เปิดการเชื่อมต่อ X.25 ด้วย X.29
    PADPingใช้เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อ

    ppp

    ใช้เรียกการเชื่อมต่อแบบ PPP

    resume

    ใช้เพื่อการ
    กลับเข้าสู่การเชื่อมต่อของเครือข่ายอีกครั้ง

    rlogin

    เปิดการเชื่อมต่อ remote Login กับ Server
    ระยะไกล

    show

    แสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำงานของ Router
    ในปัจจุบัน

    slip

    เริ่มการใช้งาน Slip (serial line
    protocol)

    systat

    เป็นการแสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Terminal Line
    เช่นสถานะของระบบ

    telnet

    เป็นการเปิด การเชื่อมต่อทาง
    Telnetterminalเป็นการจัด Parameter ของ Terminal Line

    traceroute

    เป็นการใช้ Traceroute เพื่อการติดตามไปดู
    ระบบที่อยู่ปลายทางtunnelเปิดการเชื่อมต่อแบบ Tunnel

    where

    แสดงรายการ ของ Link ที่กำลัง Active
    ในปัจจุบัน

    6. การเลือกเส้นทางแบบ Static
    คืออะไร

    ตอบ การเลือกเส้นทางแบบ Static นี้
    การกำหนดเส้นทางการคำนวณเส้นทางทั้งหมด กระทำโดยผู้บริหาจัดการเครือข่าย
    ค่าที่ถูกป้อนเข้าไปในตารางเลือกเส้นทางนี้มีค่าที่ตายตัว
    ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใดๆ บนเครือข่าย จะต้องให้ผู้บริหารจัดการดูแล
    เครือข่า เข้ามาจัดการทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีการใช้ วิธีการทาง Static เช่นนี้
    มีประโยชน์เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมดังนี้

    -เหมาะสำหรับเครือข่ายที่มีขนาดเล็ก

    -เพื่อผลแห่งการรักษาความปลอดภัยข้อมูล
    เนื่องจากสามารถแน่ใจว่า ข้อมูลข่าวสารจะต้องวิ่งไปบนเส้นทางที่กำหนดไว้ให้
    ตายตัว-ไม่ต้องใช้ Software เลือกเส้นทางใดๆทั้งสิ้น

    -ช่วยประหยัดการใช้ แบนวิดท์ของเครือข่ายลงได้มาก
    เนื่องจากไม่มีปัญหาการ Broadcast หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง Router
    ที่มาจากการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทาง

    การจัดตั้ง Configuration
    สำหรับการเลือกเส้นทางแบบ Staticเป็นที่ทราบดีแล้วว่า การเลือกเส้นทางแบบ
    Static
    เป็นลักษณะการเลือกเส้นทางที่ถูกกำหนดโดยผู้จัดการเครือข่าย
    เพื่อกำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่ตายตัว หรือเจาะจงเส้นทางปกติ Router
    สามารถ Forward Packet ไปข้างหน้า บนเส้นทางที่มันรู้จักเท่านั้น
    ดังนั้นการกำหนดเส้นทางเดินของแพ็กเก็ตให้กับ Router
    จึงควรให้ความระมัดระวังวิธีการจัด Configure แบบ Static Route ให้กับ Router
    Cisco
    ให้ใส่คำสั่ง

    ip route ลงไปที่ Global Configuration
    Mode มีตัวอย่างการใช้คำสั่ง ดังนี้ip route network [ mask ] {address
    interface}
    [distance] [permanent]

    -Network เครือข่าย หรือ Subnet
    ปลายทาง

    -Mask หมายถึงค่า Subnet mask-Address IP Address
    ของ Router ใน Hop ต่อไป

    -Interface ชื่อของ Interface
    ที่ใช้เพื่อเข้าถึงที่หมายปลายทาง

    -Distance หมายถึง Administrative
    Distance

    -Permanent เป็น Option ถูกใช้เพื่อกำหนด
    เส้นทางที่ตั้งใจว่าจะไม่มีวันถอดถอนทิ้ง ถึงแม้ว่า จะปิดการใช้งาน Interface
    ก็ตาม

    7. การเลือกเส้นทางแบบ Dynamicคืออะไรตอบ dynamic
    คือ

    ตอบ : ประเภทของโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ
    Dynamicโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ Dynamic มีอยู่ หลายรูปแบบ
    ดังนี้

    Exterior Gateway Routing
    Protocol

    Distance Vector Routing
    Protocol

    Link State Routing Protocol

    เนื่องจาก จุดประสงค์ของการเขียนบทความนี้
    ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านมีแนวคิดในการจัดตั้งเครือข่ายและอุปกรณ์ Router
    เพื่อเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย และเนื่องจากขอบข่ายของหลักวิชาการด้านนี้
    ค่อนข้างกว้าง จึงขอตีกรอบให้แคบลง
    โดยจะขอกล่าวถึงรายละเอียดเพียงบางส่วนในการจัดตั้ง Router
    ที่ท่านสามารถนำไปใช้ได้
    รู้จักกับ Distance Vector Routing Protocol Distance
    Vector
    เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางที่ Router ใช้เพื่อการสร้างตาราง Routing
    และจัดการนำแพ็กเก็ต ส่งออก ไปยังเส้นทางที่กำหนด โดย
    อาศัยข้อมูลเกี่ยวกับระยะทาง
    เช่น Hop เป็นตัวกำหนดว่า
    เส้นทางใดเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด
    ที่จะนำแพ็กเก็ตส่งออกไปที่ปลายทาง โดยถือว่า
    ระยะทางที่ใกล้ที่สุด
    เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด และแอดเดรส
    ของเครือข่ายปลายทางเป็น VectorDistance Vector
    บางครั้งจะถูกเรียกว่า
    "Bellman-Ford Algorithm" ซึ่งโปรโตคอลนี้ จะทำให้ Router
    แต่ละตัว
    ที่อยู่บนเครือข่ายจะต้องเรียนรู้ลักษณะของ Network Topology
    โดยการแลกเปลี่ยน
    Routing Information ของตัวมันเอง กับ Router
    ที่เชื่อมต่อกันเป็นเพื่อนบ้าน
    โดยตัว Router
    เองจะต้องทำการจัดสร้างตารางการเลือกเส้นทางขึ้นมา โดยเอาข้อมูล
    ข่าวสารที่ได้รับจากเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรง (
    ข้อมูลนี้ครอบคลุมไปถึงระยะทางระหว่าง Router
    ที่เชื่อมต่อกัน)หลักการทำงานได้แก่การที่ Router จะส่งชุด สำเนาที่เป็น
    Routing
    Information ชนิดเต็มขั้นของมันไปยัง Router ตัวอื่นๆ
    ที่เชื่อมต่ออยู่กับมันโดยตรง
    ด้วยการแลกเปลี่ยน Routing Information กับ
    Router ตัวอื่นๆ
    ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงนี้เอง ทำให้ Router แต่ละตัว
    จะรู้จักซึ่งกันและกัน
    หรือรู้เขารู้เรา กระบวนการแลกเปลี่ยนนี้
    จะดำเนินต่อไปเป็นห้วงๆ
    ของเวลาที่แน่นอน

    Distance Vector Algorithm
    ค่อนข้างเป็นแบบที่เรียบง่าย อีกทั้งออกแบบเครือข่ายได้ง่ายเช่นกัน
    ปัญหาหลักของของ
    Distance Vector Algorithm ได้แก่ การคำนวณเส้นทาง
    จะซับซ้อนขึ้น
    เมื่อขนาดของเครือข่ายโตขึ้น

    ตัวอย่างของโปรโตคอลที่ทำงานภายใต้ Distance
    Vector Algorithm ได้แก่ อาร์ไอพี (RIP) หรือ Routing Information ProtocolLink
    State RoutingLink State Routing ถูกเรียกว่า "Shortest Path First (SPF)"
    Algorithm ด้วย Link State Routing นี้ Router แต่ละตัวจะทำการ Broadcast
    ข้อมูลข่าวสารออกมายัง Router ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงแบบเป็นระยะๆ
    ข้อมูลข่าวสารนี้ยังครอบคลุมไป
    ถึงสถานะของการเชื่อมต่อระหว่างกัน

    ด้วยวิธีการของ Link State นี้ Router
    แต่ละตัวจะทำการสร้างผังที่สมบูรณ์ของเครือข่ายขึ้น จากข้อมูลที่มันได้รับจาก
    Router อื่นๆทั้งหมด จากนั้นจะนำมาทำการคำนวณเส้นทางจากผังนี้โดยใช้ Algorithm
    ที่เรียกว่า Dijkstra Shortest Path AlgorithmRouter
    จะเฝ้าตรวจสอบดูสถานะของการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่อง
    โดยการแลกเปลี่ยนระหว่างแพ็กเก็ตกับ Router เพื่อนบ้าน แต่หาก Router
    ไม่ตอบสนองต่อความพยายามที่จะติดต่อด้วย หลายๆครั้ง
    การเชื่อมต่อก็จะถือว่าตัดขาดลง
    แต่ถ้าหากสถานะ ของ Router
    หรือการเชื่อมต่อเกิดการเปลี่ยนแปลง
    ข้อมูลข่าวสารนี้จะถูก Broadcast ไปยัง
    Router
    ทั้งหมดที่อยู่ในเครือข่าย

    การจัดตั้ง Configure ให้กับวิธี
    การจัดเลือกเส้นทางแบบ Dynamicในการจัดตั้งค่าสำหรับการเลือกเส้นทาง (Routing)
    แบบ
    Dynamic จะมี 2 คำสั่งสำหรับการใช้งาน ได้แก่ คำสั่ง Router และ Network
    โดยคำสั่ง
    Router เป็นคำสั่งที่ทำให้เริ่มต้นการเกิดกระบวนการเลือกเส้นทางขึ้น

    Router (config)#router protocol
    [keyword]

    ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายรายละเอียดของรูปแบบคำสั่ง

    Protocol เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบใดแบบหนึ่ง
    ระหว่าง RIP

    IGRP OSPF หรือ Enhanced IGRP

    Keyword ตัวอย่าง เช่น เลขหมายของ Autonomous
    ซึ่งจะถูกนำมาใช้กับโปรโตคอลที่ต้องการระบบ Autonomous ได้แก่ โปรโตคอล
    IGRPคำสั่ง
    Network ก็เป็นคำสั่งที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานเช่นกัน
    เนื่องจากมันสามารถกำหนดว่า Interface ใดที่จะเกี่ยวข้องกับการรับหรือส่ง
    Packet
    เพื่อการ Update ตารางเลือกเส้นทาง
    ขณะเกิดกระบวนการเลือกเส้นทางขึ้นคำสั่ง Network
    จะเป็นคำสั่งที่ทำให้
    โปรโตคอลเลือกเส้นทางเริ่มต้นทำงานบน Interface ต่างๆ ของ
    Router
    อีกทั้งยังทำให้ Router สามารถโฆษณาประชาสัมพันธ์เครือข่ายที่ตนดูแลอยู่
    ได้อีกด้วย

    รูปแบบของคำสั่งมีดังนี้

    Router (config-router)#network network-
    numberNetwork-number

    ในที่นี้หมายถึง
    เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันโดยตรง และ

    Network Number จะต้องอยู่ในมาตรฐาน
    เลขหมาย ของ INTERNIC

    8. Protocal ที่เลือกเส้นทางแบบ dynamic
    มีอะไรบ้าง

    ตอบ โปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ Dynamic มีอยู่
    หลายรูปแบบ ดังนี้

    1. Interior Gateway Routing
    Protocol

    2.Exterior Gateway Routing
    Protocol

    3. Distance Vector Routing
    Protocol

    4. Link State Routing
    Protocol

    Interior เป็น Protocol
    ที่ใช้แลกเปลี่ยนฐานความรู้ระหว่าง Roter ภายในองค์กรเดียวกัน ซึ่งได้แก่ RIP ,
    IGRP ,EIGRP และ OSPF Exterior เป็น Protocol
    ที่ใช้แลกเปลี่ยนฐานความรู้ต่างองค์กรกันหรือความน่าเชื่อถือต่างกัน ซึ่งได้แก่
    BGP, EGP Distance Vector เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางที่ Router
    ใช้เพื่อการสร้างตาราง Routing และจัดการนำแพ็กเก็ตส่งออกไปยังเส้นทางที่กำหนด
    โดย
    อาศัยข้อมูลเกี่ยวกับระยะทาง เช่น Hop เป็นตัวกำหนดว่า
    เส้นทางใดเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ที่จะนำแพ็กเก็ตส่งออกไปที่ปลายทาง โดยถือว่า
    ระยะทางที่ใกล้ที่สุด เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด และแอดเดรส
    ของเครือข่ายปลายทางเป็น
    VectorLink State Routing ถูกเรียกว่า "Shortest Path
    First (SPF)" Algorithm ด้วย
    Link State Routing นี้ Router แต่ละตัวจะทำการ
    Broadcast ข้อมูลข่าวสารออกมายัง
    Router ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงแบบเป็นระยะๆ
    ข้อมูลข่าวสารนี้ยังครอบคลุมไปถึงสถานะของการเชื่อมต่อระหว่างกันRouting
    Protocols
    (เส้นทางการเชื่อมต่อ)

    Exterior routing Protocol (EGP) เป็นโปรโตคอล
    สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของ router ระหว่าง 2 เครือข่ายของ gateway host
    ในระบบเครือข่ายแบบอัตโนมัติ ซึ่ง EGP มีการใช้โดยทั่วไป ระหว่าง host
    บนอินเตอร์เน็ต เพื่อแลกเปลี่ยนสารสนเทศของตาราง routing โดยตาราง routing
    ประกอบด้วยรายการ router ตำแหน่งที่ตั้ง และเมทริกของค่าใช้จ่ายของแต่ละ router
    เพื่อทำให้สามารถเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด กลุ่มของ router
    แต่ละกลุ่มจะใช้เวลาภายใน
    120 วินาที ถึง 480 วินาที ในการส่งข้อมูลส่งตาราง
    routing
    ทั้งหมดไปยังเครือข่ายอื่น ซึ่ง EGP -2 เป็นเวอร์ชันล่าสุดของ EGP
    Border Gateway
    Protocol (BGP)
    เป็นโปรโตคอลสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของเส้นทางระหว่าง gateway
    host
    (ซึ่งแต่ละที่จะมี router ของตัวเอง) ในเครือข่ายแบบอัตโนมัติ BGP
    มักจะได้รับการใช้ระหว่าง gateway host บนระบบอินเตอร์เน็ต ตาราง routing
    ประกอบด้วยรายการของ router ตำแหน่งและตารางค่าใช้จ่าย (cost metric)
    ของเส้นทางไปยังrouterแต่ละตัวเพื่อการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด host
    ที่ใช้การติดต่อด้วย

    ประเภทของ Routing ภายใน Network
    ที่เชื่อมต่อกับเนตเวิคโดยตรงRouting Information Protocol (RIP)
    เป็นโปรโตคอลที่ใช้อย่างกว้างขวาง สำหรับการจัดการสารสนเทศของ router
    ภายในเครือข่าย เช่น เครือข่าย LAN ของบริษัท หรือการติดต่อภายในกลุ่ม
    ของเครือข่าย
    RIP ได้รับการจัดชั้นโดย Internet Engineering Task Force (IETF)
    ให้เป็นหนึ่งในโปรโตคอลของInternet Gateway Protocol (หรือ
    InteriorGatewayProtocol)

    Open Shortest Path First (OSPF) ถือเป็น
    เร้าติ้งโปรโตคอล (Routing Protocol)
    ตัวหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในระบบเน็ตเวิร์ก
    เนื่องจากมีจุดเด่นในหลายด้าน เช่น การที่ตัวมันเป็น Routing Protocol แบบ Link
    State, การที่มีอัลกอรึทึมในการค้นหาเส้นทางด้วยตัวเอง ซึ่งเปรียบเสมือนว่า
    ตัวของ
    เราเตอร์ที่รัน OSPF ทุกตัวเป็นรูท (Root) หรือ
    จุดเริ่มต้นของระบบไปยังกิ่งย่อยๆ
    หรือโหนด (Node) ต่างๆ
    ซึ่งเป็นเทคนิคในการลดเส้นทางที่วนลูป (Routing Loop) ของการ
    Routing
    ได้เป็นอย่างดี

    Enhance Interior Gateway Routing Protocol
    (EIGRP) นั้นถือได้ว่าเป็น
    เราติ้งโปรโตคอลที่มีความรวดเร็วสูงสุดของซิสโก้ในการค้นหาเส้นทางภายใน
    Intra-AS
    (Interior Routing Protocol: เราติ้งโปรโตคอลภายใน Autonomous System)
    ซึ่ง
    ในเราติ้งโปรโตคอลแบบ EIGRP นี้ จะเป็นการนำเอาข้อดีของการเราติ้งแบบ
    Distance
    Vector และ Link State มาผสมผสานกัน (ในหนังสือบางเล่มจะเรียก
    เราติ้งโปรโตคอลแบบนี้ว่า “Hybrid” (ลูกผสม) หรือ Advanced Distance
    Vector)

    9. อธิบาย Protocal Distance Vector
    ให้เข้าใจ

    ตอบ ลักษณะที่สำคัญของการติดต่อแบบ
    Distance-vector คือ ในแต่ละ Router จะมีข้อมูล routing table
    เอาไว้พิจารณาเส้นทางการส่งข้อมูล
    โดยพิจารณาจากระยะทางที่ข้อมูลจะไปถึงปลายทางเป็นหลัก จากรูป Router A
    จะทราบว่าถ้าต้องการส่งข้อมูลข้ามเครือข่ายไปยังเครื่องที่อยู่ใน Network B
    แล้วนั้น ข้อมูลจะข้าม Router ไป 1 ครั้ง หรือเรียกว่า 1 hop
    ในขณะที่ส่งข้อมูลไปยังเครื่องใน Network C ข้อมูลจะต้องข้ามเครือข่ายผ่าน
    Router A
    ไปยัง Router B เสียก่อน ทำให้การเดินทางของข้อมูลผ่านเป็น 2 hop
    อย่างไรก็ตามที่
    Router B จะมองเห็น Network B และ Network C
    อยู่ห่างออกไปโดยการส่งข้อมูล 1 hop
    และ Network A เป็น2 hop ดังนั้น Router A
    และ Router B
    จะมองเห็นภาพของเครือข่ายที่เชื่อมต่ออยู่แตกต่างกันเป็นตารางข้อมูล routing
    table
    ของตนเอง จากรูปการส่งข้อมูลตามลักษณะของ Distance-vector routing
    protocol
    จะเลือกหาเส้นทางที่ดีที่สุดและมีการคำนวณตาม routing algorithm
    เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา ซึ่งมักจะเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดและมีจำนวน hop
    น้อยกว่า
    โดยอุปกรณ์ Router ที่เชื่อมต่อกันมักจะมีการปรับปรุงข้อมูลใน routing
    table
    อยู่เป็นระยะๆ ด้วยการ Broadcast ข้อมูลทั้งหมดใน routing table
    ไปในเครือข่ายตามระยะเวลาที่ตั้งเอาไว้การใช้งานแบบ Distance-vector
    เหมาะกับเครือข่ายที่มีขนาดไม่ใหญ่มากและมีการเชื่อมต่อที่ไม่ซับซ้อนเกินไป
    ตัวอย่างโปรโตคอลที่ทำงานเป็นแบบ Distance-vector ได้แก่ โปรโตคอล RIP (Routing
    Information Protocol) และโปรโตคอล IGRP (Interior Gateway Routing Protocol)
    เป็นต้น

    10. Protocol BGP
    คืออะไรมีหลักการทำงานอย่างไร

    ตอบ Border Gateway Protocol (BGP)
    เป็นโปรโตคอลสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของเส้นทางระหว่าง gateway host
    (ซึ่งแต่ละที่จะมี router ของตัวเอง) ในเครือข่ายแบบอัตโนมัติ BGP
    มักจะได้รับการใช้ระหว่าง gateway host บนระบบอินเตอร์เน็ต ตาราง routing
    ประกอบด้วยรายการของ router ตำแหน่งและตารางค่าใช้จ่าย (cost metric)
    ของเส้นทางไปยัง router แต่ละตัว เพื่อการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด host
    ที่ใช้การติดต่อด้วย BGP จะใช้ Transmission Control Protocol (TCP)
    และส่งข้อมูลที่ปรับปรุงแล้วของตาราง router เฉพาะ host
    ที่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลง
    จึงมีผลเฉพาะส่วนของตาราง router ที่ส่ง BGP-4
    เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    ซึ่งให้ผู้บริหารระบบทำการคอนฟิก cost metric ตามนโยบาย
    การติดต่อด้วย BGP ของระบบ
    แบบอัตโนมัติที่ใช้ Internet BGP (IBGP)
    จะทำงานได้ไม่ดีกับ IGP เนื่องจาก router
    ภายในระบบอัตโนมัติต้องใช้ตาราง
    routing 2 ตาราง คือ ตารางของ IGP (Internet
    gateway protocol) และตารางของ
    IBGP BGP เป็นโปรโตคอลที่ทันสมัยกว่า Exterior
    Gateway
    Protocol

    11. สายใยแก้วนำแสงมีกี่ชนิด

    ตอบ ชนิดคือไฟเบอร์ออฟติค

    12.
    สัญญาณแก้วใยแก้วนำแสงต่างๆ

    ตอบ อนาล็อกกับดิจิตอล

    13.
    จงบอกข้อดีของเส้นใยแก้วนำแสง

    ตอบ 1. มีน้ำหนักเบาและไม่เป็นสนิม
    ซึ่งเหมาะมากสำหรับใช้งานในยานอวกาศ และรถยนต์

    2. เส้นใยแสง 1 เส้น
    สามารถที่จะมีช่องสัญญาณเสียงได้มากเท่ากับ 1500 คู่สาย

    3.
    ความห่างของตัวขยายสัญญาณสำหรับเส้นใยแสงมีค่าตั้งแต่ 35 ถึง 80 กิโลเมตร
    ซึ่งตรงข้ามกับสายธรรมดา ซึ่งมีค่าตั้งแต่ 1 ถึงแค่ 1.5 กิโลเมตรเท่านั้น4.
    เส้นใยแสงจะไม่มีการรบกวนจากฟ้าแลบ
    และการแผ่รังสีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

    14. ขนาดของ core และ cladding
    ในเส้นใยแก้วนำแสงแต่ละชนิด

    ตอบ แท่งควอร์ต ซึ่งผ่านกระบวนการ Modefied
    Chemical Vapor Deposition (MCVD) แล้วจะถูกวางในแนวตั้งในหอดึง (Drawing
    Tower)
    ซึ่งจะถูกให้ความร้อนต่ออีก (2200 F) และถูกดึงลงด้านล่าง
    โดยหลักการของการหลอมเหลวควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และขบวนการการดึง
    เพื่อจะทำให้เส้นใยแสงคุณภาพสูง มีความยาวประมาณ 6.25 กิโลเมตร
    และเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 125 ไมโครเมตร ศูนย์กลางซึ่งถูกเรียกว่า แกน หรือ
    CORE
    (เส้นผ่าศูนย์กลาง 8 ไมโครเมตร)
    จะถูกล้อมรอบด้วยควอร์ตที่บริสุทธิ์น้อยกว่า
    ซึ่งถูกเรียกว่า ชั้นคลุม หรือ
    cladding (ขอบเขตประมาณ 117
    ไมโครเมตร

    15. การเชื่อมต่อดดยวิธีการหลอมรวม
    ทำได้โดยวิธีใด

    ตอบ การเชื่อมต่อแบบหลอมรวม เป็นการเชื่อมต่อ
    Fiber Optic สองเส้นเข้าด้วยกัน โดยการให้ความร้อนที่ปลายของเส้น Fiber Optic
    จากนั้นปลายเส้น Fiber Optic จะถูกดันออกมาเชื่อมต่อกัน
    การเชื่อมต่อกันในลักษณะนี้
    เป็นการเชื่อมต่อโดยถาวร
    จนทำให้ดูเหมือนรวมเป็นเส้นเดียวกัน
    การสูญเสียจากการเชื่อมต่อในลักษณะนี้
    จะทำให้มีความสูญเสีย ประมาณ 0.01 - 0.2 dB
    ในขั้นตอนการเชื่อมต่อนี้
    ความร้อนที่ทำให้ปลายเส้น Fiber Optic
    อ่อนตัวลงด้วยประกายไฟที่เกิดจากการ Arc
    ระหว่างขั้ว Electrode ขณะทำการ หลอมรวม
    ซึ่งจะยังผลให้การเชื่อมต่อของ Fiber
    Optic เป็นเนื้อเดียวกัน