วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เส้นใยแก้วนำแสง (fiber optic)

จุดเด่นของเส้นใยแก้วนำแสงจุดเด่นของเส้นใยแก้วนำแสงมีหลายประการ โดยเฉพาะจุดที่ได้เปรียบสายตัวนำทองแดง ที่จะนำมาใช้แทนตัวนำทองแดง จุดเด่นเหล่านี้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งประกอบด้วยความสามารถในการรับส่งข้อมูลข่าวสารเส้นใยแก้วนำแสงที่เป็นแท่งแก้วขนเหล็ก มีการโค้งงอได้ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใช้กันมากคือ 62.5/125 ไมโครเมตร เส้นใยแก้วนำแสงขนาดนี้เป็นสายที่นำมาใช้ภายในอาคารทั่วไป เมื่อใช้กับคลื่นแสงความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร จะส่งสัญญาณได้มากกว่า 160 เมกะเฮิรตซ์ ที่ความยาว 1 กิโลเมตร แล้วถ้าใช้ความยาวคลื่น 1300 นาโนเมตร จะส่งสัญญาณได้กว่า 500 นาโนเมตร ที่ความยาว 1 กิโลเมตร และถ้าลดความยาวเหลือ 100 เมตร จะใช้กับความถี่สัญญาณมากกว่า 1 กิกะเฮิรตซ์ ดังนั้นจึงดีกว่าสายยูทีพีแบบแคต 5 ที่ใช้กับสัญญาณได้ 100 เมกะเฮิรตซ์กำลังสูญเสียต่ำเส้นใยแก้วนำแสงมีคุณสมบัติในเชิงการให้แสงวิ่งผ่านได้ การบั่นทอนแสงมีค่าค่อนค่างต่ำ ตามมาตรฐานของเส้นใยแก้วนำแสง การใช้เส้นสัญญาณนำแสงนี้ใช้ได้ยาวถึง 2000 เมตร หากระยะทางเกินกว่า 2000 เมตร ต้องใช้รีพีตเตอร์ทุก ๆ 2000 เมตร การสูญเสียในเรื่องสัญญาณจึงต่ำกว่าสายตัวนำทองแดงมาก ที่สายตัวนำทองแดงมีข้อกำหนดระยะทางเพียง 100 เมตรหากพิจารณาในแง่ความถี่ที่ใช้ ผลตอบสนองทางความถึ่มีผลต่อกำลังสูญเสีย โดยเฉพาะในลวดตัวนำทองแดง เมื่อใช้เป็นสายสัญญาณ คุณสมบัติของสายตัวนำทองแดงจะเปลี่ยนแปลงเมื่อใช้ความถี่ต่างกัน โดยเฉพาะเมื่อใช้ความถึ่ของสัญญาณที่ส่งในตัวนำทองแดงสูงขึ้น อัตราการสูญเสียก็จะมากตามแต่กรณีของเส้นใยแก้วนำแสงเราใช้สัญญาณความถี่มอดูเลตไปกับแสง การเปลี่ยนสัญญาณรับส่งข้อมูลจึงไม่มีผลกับกำลังสูญเสียทางแสงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่สามารถรบกวนได้ปัญหาที่สำคัญของสายสัญญาแบบทองแดงคือการเหนี่ยวนำโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ปัญหานี้มีมาก ตั้งแต่เรื่องการรบกวนระหว่างตัวนำหรือเรียกว่าครอสทอร์ค การำม่แมตซ์พอดีทางอิมพีแดนซ์ ทำให้มีคลื่นสะท้อนกลับ การรบกวนจากปัจจัยภายนอกที่เรียกว่า EMI ปัญหเหล่านี้สร้างให้ผู้ใช้ต้องหมั่นดูแลแต่สำหรับเส้นใยแก้วนำแสงแล้วปัญหาเรื่องเหล่านี้จะไม่มี เพราะแสงเป็นพลังงานที่มีพลังงานเฉพาะและไม่ถูกรบกวนของแสงจากภายนอกน้ำหนักเบาเส้นใยแก้วนำแสงมีน้ำหนักเบากว่าเส้นลวดตัวนำทองแดง น้ำหนักของเส้นใยแก้วนำแสงขนาด 2 แกนที่ใช้ทั่วไปมีน้ำหนักเพียงประมาณ 20 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของสายยูทีพีแบบแคต 5ขนาดเล็กเส้นใยแก้วนำแสงมีขนาดทางภาคตัดขวางแล้วเล็กกว่าลวดทองแดงมาก ขนาดของเส้นใยแก้วนำแสงเมื่อรวมวัสดุหุ้มแล้วมีขนาดเล็กกว่าสายยูทีพี โดยขนาดของสายใยแก้วนี้ใช้พื้นที่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของเส้นลวดยูทีพีแบบแคต 5มีความปลอดภัยในเรื่องข้อมูลสูงกว่าการใช้เส้นใยแก้วนำแสงมีลักษณะใช้แสงเดินทางในข่าย จึงยากที่จะทำการแท๊ปหรือทำการตัดฟังข้อมูลมีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน การที่เส้นใยแก้วเป็นฉนวนทั้งหมด จึงไม่นำกระแสไฟฟ้า การลัดวงจร การเกิดอันตรายจากกระแสไฟฟ้าจึงไม่เกิดขึ้นความเข้าใจผิดบางประการแต่เดิมเส้นใยแก้วนำแสงมีใช้เฉพาะในโครงการใหญ๋ หรือใช้เป็นเครือข่ายแบบแบ็กโบน เทคโนโลยีเกี่ยวกับเส้นใยแก้วนำแสงก็ยังไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก ทำให้เกิดความเข้าใจผิดบางประการเกี่ยวกับคุณสมบัติและการประยุกต์ใช้งานแตกหักได้ง่ายด้วยความคิดที่ว่า "แก้วแตกหังได้ง่าย" ความคิดนี้จึงเกิดขึ้นกับเส้นใยแก้วด้วย เพราะวัสดุที่ทำเป็นแก้ว ความเป็นจริงแล้วเส้นใยแก้วมีความแข็งแรงและทนทานสูงมาก การออกแบบใยแก้วมีเส้นใยห้อมล้อมไว้ ทำให้ทนแรงกระแทก นอกจากนี้แรงดึงในเส้นใยแก้วยังมีความทนทานสูงกว่าสายยูทพี หากเปรียบเทียบเส้นใยแก้วกับสายยูทีพีแล้วจะพบว่า ข้อกำหนดของสายยูทีพีคุณสมบัติหลายอย่างต่ำกว่าเส้นใยแก้ว เช่น การดึงสาย การหักเลี้ยวเพราะลักษณะคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่ความถี่สูงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่าเส้นใยแก้วนำแสงมีราคาแพงแนวโน้มทางด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงราคาของเส้นใยแก้วนำแสงลดลง จนในขณะนี้ยังแพงกว่าสายยูททีพีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนักนอกจากนี้หลายคนยังเข้าใจว่า การติดตั้งเส้นใยแก้วนำแสงมีข้อยุ่งยาก และต้องใช้คนที่มีความรู้ความชำนาญ เสียค่าติตั้งแพง ความคิดนี้ก็คงไม่จริง เพราะการติดตั้งทำได้ไม่ยากนักเนื่องจากมีเครื่องมือพิเศษช่วยได้มาก เครื่องมือพิเศษนี้สามารถเข้าหัวสายได้โดยง่ายกว่าแต่เดิมมาก อีกทั้งราคาเครื่องมือก็ถูกลงจนมีผู้รับติดตั้งได้ทั่วไปเส้นใยแก้วนำแสงยังไม่สามารถใช้กับเครื่องที่ตั้งโต๊ะได้ปัจจุบันพีซีที่ใช้ส่วนใหญ่ต่อกับแลนแบบอีเธอร์เน็ต ซึ่งได้ความเร็ว 10 เมกะบิต การเชื่อมต่อกับแลนมีหลายมาตรฐาน โดยเฉพาะปัจจุบันหากใช้ความเร็วเกินกว่า 100 เมกะบิต สายยูทีพีรองรับไม่ได้ เช่น เอทีเอ็ม 155 เมกะบิต แนวโน้มของการใช้งานระบบเครือข่ายมีทางที่ต้องใช้แถบกว้างสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องการให้พีซีเป็นมัลติมีเดียเพื่อแสดงผลเป็นภาพวิดีโอ การใช้เส้นใยแก้วนำแสงดูจะเป็นทางออก พัฒนการของการ์ดก็ได้พัฒนาไปมากเอทีเอ็มการ์ดใช้ความเร็ว 155 เมกะบิต ย่อมต้องใช้เส้นใยแก้วนำแสงรองรับ การใช้เส้นใยแก้นำแสงยังสามารถใช้ในการส่งรับวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ หรือสัญญาณประกอบอื่น ๆ ได้ดีเส้นใยแก้วนำแสงมีกี่แบบคุณสมบัติของเส้นใยแก้วนำแสงแบ่งแยกได้ตามลักษณะคุณสมบัติของตัวนำแสงที่มีลักษณะการให้แสงส่องทะลุในลักษณะอย่างไร คุณสมบัติของเนื้แก้วนี้จะกระจายแสงออก ซึ่งในกรณีนี้การสะท้อนของแสงกลับต้องเกิดขึ้น โดยผนังแก้วด้านข้างต้องมีดัชนีหักเหของแสงที่ทำให้แสงสะท้อนกลับ เพื่อลดการสูญเสียของพลังงานแสง วิธีการนี้เราแบ่งแยกออกเป็นสองแบบคือ แบบซิงเกิลโหมด และมัลติโหมดซิงเกิลโหมดเป็นการใช้ตัวนำแสงที่บีบลำแสงให้พุ่งตรงไปตามท่อแก้ว โดยมีการกระจายแสงออกทางด้านข้างน้อยที่สุด ซิงเกิลโหมดจึงเป็นเส้นใยแก้วนำแสงที่มีกำลังสูญเสียทางแสงน้อยที่สุด เหมาะสำหรับในการใช้กับระยะทางไกล ๆ การเดินสายใยแก้วนำแสงกับระยะทางไกลมาก เช่น เดินทางระหว่างประเทศ ระหว่างเมือง มักใช้แบบซิงเกิลโหมด

รูปที่ 1 เส้นใยแก้วนำแสงแบบซิงเกิลโหมดมัลติโหมดเป็นเส้นใยแก้วนำแสงที่มีลักษณะการกระจายแสงออกด้านข้างได้ ดังนั้นจึงต้องสร้างให้มีดัชนีหักเหของแสงกับอุปกรณ์ฉาบผิวที่สัมผัสกับเคล็ดดิงให้สะท้อนกลับหมด หากการให้ดัชนีหักเกของแสงมีลักษณะทำให้แสงเลี้ยวเบนทีละน้อยเราเรียกว่าแบบเกรดอินเด็กซ์ หากให้แสงสะท้อนดยไม่ปรับคุณสมบัติของแท่งแก้วให้แสงค่อยเลี้ยวเบนก็เรียกว่าแบบ สเต็ปอินเด็กซ์เส้นใยแก้วนำแสงที่ใช้ในเครือข่ายแลน ส่วนใหญ่ใช้แบบมัลติโหมด โดยเป็นขนาด 62.5/125 ไมโครเมตร หมายถึงเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อแก้ว 62.5 ไมโครเมตร และของแคล็ดดิงรวมท่อแก้ว 125 ไมโครเมตรคุณสมบัติของเสันใยแก้วนำแสงแบบสแต็ปอินเด็กซ์มีการสูญเสียสูงกว่าแบบเกรดอินเด็กซ์

รูปที่ 2 เส้นใยแก้วนำแสงแบบมัลติโหมดตัวส่งแสงและรับแสงการใช้เส้นใยแก้วนำแสงจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณแสงอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณแสงหรือเป็นแหล่งกำเนิดแสงคือ LED หรือเลเซอร์ไดโอด อุปกรณ์ส่งแสงนี้ทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นไฟฟ้าให้เป็นคลื่นแสง ส่วนอุปกรณ์รับแสงและเปลี่ยนกลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้า คือโฟโต้ไดโอดอุปกรณ์ส่งแสงหรือ LED ใช้พลังงานเพียง 45 ไมโครวัตต์ สำหรับใช้กับเส้นใยแก้วนำแสงแบบ 62.5/125 การพิจารณาอุปกรณ์นี้ต้องดูที่แถบคลื่นแสง โดยปกติใช้คลื่นแสงย่านความยาวคลื่นประมาณ 830 ถึง 850 นาโนเมตร หรือมีแถบกว้างประมาณ 25-40 นาโนเมตร ดังนั้นข้อกำหนดเชิงพิกัดของเส้นใยแก้วนำแสงจึงกล่าวถึงความยาวคลื่นแสงที่ใช้ในย่าน 850 นาโนเมตรตัวรับแสงหรือโฟโต้ไดโอดเป็นอุปกรณ์ที่ใช้รับสัญญาณแสงและมีความไวต่อความเข้มแสง คลื่นแสงที่ส่งมามีการมอดูเลตสัญญาณข้อมูลเข้าไปร่วมด้วยอุปกรณ์ตัวรับและตัวส่งแสงนี้มักทำมาสำเร็จเป็นโมดูล โดยเฉพาะเชื่อมต่อเข้ากับสัญญาณข้อมูลที่เป็นไฟฟ้าได้โดยตรง และทำให้สะดวกต่อการใช้งาน
รูปที่ 3 โครงสร้างของเส้นใยแก้วนำแสงการเชื่อมต่อ และหัวต่อที่ปลายสายแต่ละเส้นจะมีหัวต่อที่ใช้เชื่อมต่อกับเส้นใยแก้วนำแสง แสงจะผ่านหัวต่อไปยังอีกหัวต่อโดยเสมือนเชื่อมต่อกันเป็นเส้นเดียวได้เมื่อเอาเส้นใยแก้วมาเข้าหัวที่ปลายแก้วจะมีลักษณะที่ส่งสัญญาณแสงออกมาได้ และต้องให้กำลังสูญเสียต่ำที่สุด ดังนั้นจึงมีวิธีที่จะทำให้ปลายท่อแก้วราบเรียบที่จะเชื่อมสัญญาณแสงต่อไปได้

รปที่4 การฝนปลายก่อนเข้าหัวสายการกระทำแต่ละแบบจะให้การลดทอนสัญญาณต่างกัน และยังต้องให้มีแสงสะท้อนกลับน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ลักษณะของหัวต่อเมื่อเชื่อมถึงกันแล้วจะต้องให้ผิวสัมผัสการส่งแสงทะลุถึงกัน เพื่อให้กำลังสูญเสียความเข้มแสงน้อยสุด โดยปกติหัวต่อที่ทำการฝนแก้วแบบแบนราบมีกำลังสูญเสียสูงกว่าแบบอื่น คือประมาณ -30 dB แบบ PC มีการสูญเสียประมาณ -40dB และแบบ APC มีการสูญเสียความเข้มน้อยสุดคือ -50 dBลักษณะของหัวต่อเมื่อเชื่อมต่อถึงกันแสดงดังรูปที่ 5
รูปที่ 5 เมื่อให้ปลายหัวต่อเชื่อมกันระหว่างแบบตัวผู้และตัวเมียการประยุกต์ใช้เส้นใยแก้วนำแสงแนวโน้มการใช้งานเส้นใยแก้วนำแสงได้เป็นรูปธรรมที่เด่นชัดขึ้น ทั้งนี้เพราะมีผู้พัฒนาเทคโนโลยีให้รองรับกับการใช้เส้นใยแก้วนำแสง โดยเน้นที่ความเร็วของการรับส่งสัญญาณ เส้นใยแก้วนำแสงมีข้อเด่นในเรื่องความเชื่อถือสูง เพราะปราศจากการรบกวน อีกทั้งยังสามารถใช้กับเทคโนโลยีได้หลากหลายและรองรับสิ่งที่จะเกิดใหม่ในอนาคตได้มาก

รูปที่ 6 หัวต่อเส้นใยแก้วนำแสงแบบ STตัวอย่างการใช้งานต่อไปนี้เป็นรูปแบบให้เห็นตัวอย่างของการประยุกต์ใช้ในอาคารในสำนักงาน โดยสามารถเดินสายสัญญาณด้วยเส้นใยแก้นำแสงตามมาตรฐานสากล คือมีสายในแนวดิ่ง และสายในแนวราบ สายในแนวดิ่งเชื่อมโยงระหว่างชั้น ส่วนสายในแนวราบเป็นการเชื่อมจากผู้ใช้มาที่ชุมสายแต่ละชั้นรูปแบบไดอะแกรมการเดินสายทั่วไปประกอบด้วยโครงสร้างดังรูปที่ 7
จากลักษณะของการเดินสายตามมาตรฐาน EIA 586 นี้ สามารถนำมาใช้กับเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้มาก เช่น การใช้เทคโนโลยี 10BASE Fการใช้อีเธอร์เน็ตแบบ 10BASE F เป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาให้ใช้แบบเทคโนโลยีอีเธอร์เน็ตโดยตรง ความเร็วสัญญาณยังคงอยู่ที่ 10 เมกะบิต และหากเป็น 10BASE F ก็เป็นความเร็ว 10 เมกะบิต ขณะนี้มีการพัฒนาระบบอีเธอร์เน็ตให้เป็นแบบกิกะบิตอีเธอร์เน็ต หรือความเร็วสัญญาณอยู่ที่ 1,000 เมกะบิต การเดินสายด้วยเส้นใยแก้วนำแสงมีลักษณะเหมือนกับสายยูทีพี โดยใช้ชิปเป็นตัวกระจายพอร์ตต่าง ๆ ดังแสดงในรูปที่ 8

รูปที่ 8 โครงสร้างการเดินสายสัญญาณเพื่อใช้กับเส้นใยแก้วนำแสงFDDIเทคโนโลยีนี้มีใช้มานานแล้ว เป็นเทคโนโลยีที่มีความเร็วของสัญญาณที่ 100 เมกะบิต และใช้สายสัญญาณเป็นเส้นใยแก้วนำแสง มีโครงสร้างเป็นวงแหวนสองชั้นและแตกกระจายออก การเดินสายสัญญาณตามมาตรฐาน EIA 568 ก็จัดให้เข้ากับ FDDI ได้ง่าย FDDI มีข้อดีคือสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายระยะไกลได้ มีจำนวนโหนดบน FDDI ได้ถึง 1,000 โหนด การจัดโครงสร้างต่าง ๆ ของ FDDI สามารถทำผ่านทางแพตช์ที่เชื่อมต่อให้ได้รูปตามที่ FDDI ต้องการ ในลูปวงแหวนหลักของ FDDI ต้องการวงแหวนสองชั้น ซึ่งก็ต้องใช้เส้นใยแก้วนำแสงจำนวนทั้งหมด 4 ลำแสง FDDI ยังเป็นเครือข่ายหลักหรือแบ็กโบนเพื่อเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายอื่นได้ เช่น เชื่อมต่อกับอีเธอร์เน็ต กับโทเค็นริง ไดอะแกรมของ FDDI แสดงดังรูปที่ 9

รูปที่ 9 ไดอะแกรมการเชื่อมโยงของ FDDIATMเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาเพื่อรองรับการใช้งานที่ความเร็วสูงมาก เอทีเอ็มสามารถใช้ได้กับความเร็ว 155 เมกะบิต 622 เมกะบิต และสูงเกินกว่ากิกะบิตในอนาคต โครงสร้างการเดินสายเอทีเอ็มมีลักษณะแบบดาว เป็นโครงสร้างการกระจายสายสัญญาณซึ่งตรงกับสภาพการใช้เส้นใยแก้วนำแสงอยู่แล้วลักษณะของแพตช์และการกระจายสายสัญญาณเพื่อใช้กับเส้นใยแก้วนำแสงในลักษณะที่ปรับเปลี่ยนเข้ากับเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้แสดงไว้ในรูปที่ 10 การวางโครงสร้างของสายสัญญาณเส้นใยแก้วจึงไม่แตกต่างกับสายยูทีพี

รูปที่ 10 การวางโครงสร้างสายเพื่อเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่าง ๆอนาคตต้องเป็นเส้นใยแก้วนำแสง
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันมีการใช้งานสายยูทีพีอย่างแพร่หลายและได้ประโยชน์มหาศาสล แต่จากการพัฒนาเทคโนโลยีที่ต้องการให้ถนนของข้อมูลข่าวสารเป็นถนนขนาดใหญ่ที่เรียกว่าซูเปอร์ไฮเวย์ การรองรับข้อมูลจำนวนมากและการประยุกต์ในรูปแบบมัลติมีเดียที่กำลังจะเกิดขึ้นย่อมต้องทำให้สภาพการใช้ข้อมูลข่าวสารต้องพัฒนาให้รองรับกับจำนวนปริมาณข้อมูลที่จะมีมากขึ้น จึงเชื่อแน่ว่า เส้นใยแก้วนำแสงจะเป็นสายสัญญาณที่ก้าวเข้ามาในยุคต่อไป และจะมีบทบาทเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นแล้วเราคงจะได้เห็นอาคารบ้านเรือน สำนักงาน หรือโรงงาน มีเส้นใยแก้วนำแสงเดินกระจายกันทั่วเหมือนกับที่เห็นสายไฟฟ้ากำลังอยู่ในขณะนี้และเหตุการณ์เหล่านี้คงจะเกิดขึ้นใน

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เรียนวันอังคารที่ 5 สค 51

  • 1. Router มีกี่โหมด อะไรบ้าง อธิบายให้ละเอียด
    ตอบ 1. Router มีกี่โหมด อะไรบ้าง

    Routing มีอยู่ 2 แบบ หลักๆ ได้แก่-
    แบบสเตติก (Static Route)- แบบไดนามิก (Dynamic Route)
    Static คือ


    การเลือกเส้นทางแบบ Static นี้ การกำหนดเส้นทางการคำนวณเส้นทางทั้งหมด
    กระทำโดยผู้บริหาจัดการเครือข่าย
    ค่าที่ถูกป้อนเข้าไปในตารางเลือกเส้นทางนี้มีค่าที่ตายตัว
    ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใดๆ บนเครือข่าย จะต้องให้ผู้บริหารจัดการดูแล
    เครือข่า เข้ามาจัดการทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีการใช้ วิธีการทาง Static เช่นนี้
    มีประโยชน์เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมดังนี้

    -เหมาะสำหรับเครือข่ายที่มีขนาดเล็ก
    -เพื่อผลแห่งการรักษาความปลอดภัยข้อมูล เนื่องจากสามารถแน่ใจว่า
    ข้อมูลข่าวสารจะต้องวิ่งไปบนเส้นทางที่กำหนดไว้ให้ ตายตัว-ไม่ต้องใช้ Software
    เลือกเส้นทางใดๆทั้งสิ้น
    -ช่วยประหยัดการใช้ แบนวิดท์ของเครือข่ายลงได้มาก
    เนื่องจากไม่มีปัญหาการ Broadcast หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง Router
    ที่มาจากการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทาง

    การจัดตั้ง Configuration
    สำหรับการเลือกเส้นทางแบบ Staticเป็นที่ทราบดีแล้วว่า การเลือกเส้นทางแบบ
    Static
    เป็นลักษณะการเลือกเส้นทางที่ถูกกำหนดโดยผู้จัดการเครือข่าย
    เพื่อกำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่ตายตัว หรือเจาะจงเส้นทางปกติ Router
    สามารถ Forward Packet ไปข้างหน้า บนเส้นทางที่มันรู้จักเท่านั้น
    ดังนั้นการกำหน
    ดเส้นทางเดินของแพ็กเก็ตให้กับ Router
    จึงควรให้ความระมัดระวังวิธีการจัด Configure
    แบบ Static Route ให้กับ Router
    Cisco ให้ใส่คำสั่งip route ลงไปที่ Global
    Configuration Mode
    มีตัวอย่างการใช้คำสั่ง ดังนี้

    ip route network [ mask
    ] {address
    interface} [distance] [permanent]
    -Network เครือข่าย หรือ Subnet
    ปลายทาง
    -Mask หมายถึงค่า Subnet mask-Address IP Address ของ Router ใน Hop
    ต่อไป
    -Interface ชื่อของ Interface ที่ใช้เพื่อเข้าถึงที่หมายปลายทาง
    -Distance
    หมายถึง Administrative Distance
    -Permanent เป็น Option
    ถูกใช้เพื่อกำหนด
    เส้นทางที่ตั้งใจว่าจะไม่มีวันถอดถอนทิ้ง ถึงแม้ว่า
    จะปิดการใช้งาน Interface
    ก็ตาม


    dynamic คือ
    Exterior Gateway
    Routing Protocol
    Distance Vector Routing Protocol
    Link State Routing
    Protocol
    เนื่องจาก จุดประสงค์ของการเขียนบทความนี้
    ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านมีแนวคิดในการจัดตั้งเครือข่ายและอุปกรณ์ Router
    เพื่อเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย และเนื่องจากขอบข่ายของหลักวิชาการด้านนี้
    ค่อนข้างกว้าง จึงขอตีกรอบให้แคบลง
    โดยจะขอกล่าวถึงรายละเอียดเพียงบางส่วนในการจัดตั้ง Router
    ที่ท่านสามารถนำไปใช้ได้
    รู้จักกับ Distance Vector Routing Protocol Distance
    Vector
    เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางที่ Router ใช้เพื่อการสร้างตาราง Routing
    และจัดการนำแพ็กเก็ต ส่งออก ไปยังเส้นทางที่กำหนด โดย
    อาศัยข้อมูลเกี่ยวกับระยะทาง
    เช่น Hop เป็นตัวกำหนดว่า
    เส้นทางใดเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด
    ที่จะนำแพ็กเก็ตส่งออกไปที่ปลายทาง โดยถือว่า
    ระยะทางที่ใกล้ที่สุด
    เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด และแอดเดรส
    ของเครือข่ายปลายทางเป็น Vector


    Distance Vector บางครั้งจะถูกเรียกว่า
    "Bellman-Ford Algorithm"
    ซึ่งโปรโตคอลนี้ จะทำให้ Router แต่ละตัว
    ที่อยู่บนเครือข่ายจะต้องเรียนรู้ลักษณะของ Network Topology โดยการแลกเปลี่ยน
    Routing Information ของตัวมันเอง กับ Router ที่เชื่อมต่อกันเป็นเพื่อนบ้าน
    โดยตัว
    Router เองจะต้องทำการจัดสร้างตารางการเลือกเส้นทางขึ้นมา โดยเอาข้อมูล
    ข่าวสารที่ได้รับจากเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรง (
    ข้อมูลนี้ครอบคลุมไปถึงระยะทางระหว่าง Router
    ที่เชื่อมต่อกัน)หลักการทำงานได้แก่การที่ Router จะส่งชุด สำเนาที่เป็น
    Routing
    Information ชนิดเต็มขั้นของมันไปยัง Router ตัวอื่นๆ
    ที่เชื่อมต่ออยู่กับมันโดยตรง
    ด้วยการแลกเปลี่ยน Routing Information กับ
    Router ตัวอื่นๆ
    ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงนี้เอง ทำให้ Router แต่ละตัว
    จะรู้จักซึ่งกันและกัน
    หรือรู้เขารู้เรา กระบวนการแลกเปลี่ยนนี้
    จะดำเนินต่อไปเป็นห้วงๆ ของเวลาที่แน่นอน


    Distance Vector Algorithm
    ค่อนข้างเป็นแบบที่เรียบง่าย
    อีกทั้งออกแบบเครือข่ายได้ง่ายเช่นกัน
    ปัญหาหลักของของ Distance Vector Algorithm
    ได้แก่ การคำนวณเส้นทาง
    จะซับซ้อนขึ้น เมื่อขนาดของเครือข่ายโตขึ้น
    ตัวอย่างของโปรโตคอลที่ทำงานภายใต้
    Distance Vector Algorithm ได้แก่ อาร์ไอพี
    (RIP) หรือ Routing Information
    ProtocolLink State RoutingLink State Routing
    ถูกเรียกว่า "Shortest Path
    First (SPF)" Algorithm ด้วย Link State Routing นี้
    Router แต่ละตัวจะทำการ
    Broadcast ข้อมูลข่าวสารออกมายัง Router
    ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงแบบเป็นระยะๆ
    ข้อมูลข่าวสารนี้ยังครอบคลุมไป
    ถึงสถานะของการเชื่อมต่อระหว่างกันด้วยวิธีการของ
    Link State นี้ Router
    แต่ละตัวจะทำการสร้างผังที่สมบูรณ์ของเครือข่ายขึ้น จากข้อมูลที่มันได้รับจาก
    Router อื่นๆทั้งหมด จากนั้นจะนำมาทำการคำนวณเส้นทางจากผังนี้โดยใช้ Algorithm
    ที่เรียกว่า Dijkstra Shortest Path AlgorithmRouter
    จะเฝ้าตรวจสอบดูสถานะของการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่อง
    โดยการแลกเปลี่ยนระหว่างแพ็กเก็ตกับ Router เพื่อนบ้าน แต่หาก Router
    ไม่ตอบสนองต่อความพยายามที่จะติดต่อด้วย หลายๆครั้ง
    การเชื่อมต่อก็จะถือว่าตัดขาดลง
    แต่ถ้าหากสถานะ ของ Router
    หรือการเชื่อมต่อเกิดการเปลี่ยนแปลง
    ข้อมูลข่าวสารนี้จะถูก Broadcast ไปยัง
    Router ทั้งหมดที่อยู่ในเครือข่ายการจัดตั้ง
    Configure ให้กับวิธี
    การจัดเลือกเส้นทางแบบ
    Dynamicในการจัดตั้งค่าสำหรับการเลือกเส้นทาง (Routing)
    แบบ Dynamic จะมี


    2 คำสั่งสำหรับการใช้งาน ได้แก่ คำสั่ง Router และ
    Network โดยคำสั่ง
    Router
    เป็นคำสั่งที่ทำให้เริ่มต้นการเกิดกระบวนการเลือกเส้นทางขึ้น
    รูปแบบของคำสั่งมีดังนี้
    Router (config)#router protocol
    [keyword]ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายรายละเอียดของรูปแบบคำสั่งProtocol
    เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบใดแบบหนึ่ง ระหว่าง
    RIP IGRP OSPF หรือ
    Enhanced
    IGRPKeyword ตัวอย่าง เช่น เลขหมายของ Autonomous
    ซึ่งจะถูกนำมาใช้กับโปรโตคอลที่ต้องการระบบ Autonomous ได้แก่ โปรโตคอล
    IGRPคำสั่ง
    Network ก็เป็นคำสั่งที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานเช่นกัน
    เนื่องจากมันสามารถกำหนดว่า Interface ใดที่จะเกี่ยวข้องกับการรับหรือส่ง
    Packet
    เพื่อการ Update ตารางเลือกเส้นทาง
    ขณะเกิดกระบวนการเลือกเส้นทางขึ้นคำสั่ง Network
    จะเป็นคำสั่งที่ทำให้
    โปรโตคอลเลือกเส้นทางเริ่มต้นทำงานบน Interface ต่างๆ ของ
    Router
    อีกทั้งยังทำให้ Router สามารถโฆษณาประชาสัมพันธ์เครือข่ายที่ตนดูแลอยู่
    ได้อีกด้วย
    รูปแบบของคำสั่งมีดังนี้
    Router
    (config-router)#networknetwork- number
    Network-number ในที่นี้หมายถึง
    เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันโดยตรง และ
    Network Number จะต้องอยู่ในมาตรฐาน
    เลขหมาย ของ INTERNIC

    2.จงบอกคำสั่งในแต่ละโหมดมาอย่างน้อย 5 คำสั่ง
    ตอบ คำสั่ง
    access-enable
    เป็นการสร้าง Access List entry ชั่วคราว
    clear
    เป็นการ reset ค่า configure ต่างๆที่ท่านสร้างขึ้นชั่วคราว
    connect
    ใช้เพื่อ เปิด connection กับ terminal
    disableปิดหรือยกเลิกคำสั่งที่อยู่ใน Privileged mode
    disconnect
    ยกเลิกการเชื่อมต่อใดๆกับ networkenableเข้าสู่ privileged Exec mode
    exit
    ออกจากการใช้ User Exec modehelpใช้เพื่อแสดงรายการ help
    lat
    เปิดการเชื่อมต่อกับ LAT (เครือข่าย VAX)
    lock
    ใช้เพื่อ lock terminal
    login
    loginเข้ามาเป็น user
    logout
    exit ออกจาก EXEC
    mrinfoใช้เพื่อการร้องขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Version และสถานะของ Router
    เพื่อนบ้านจาก multicast router ตัวหนึ่ง
    mstat
    แสดงสถิติหลังจากที่ได้ตามรอยเส้นทางแบบ Multicast ของ Router แล้ว
    mtrace
    ใช้ติดตามดู เส้นทาง Multicast แบบย้อนกลับจาก ปลายทางย้อนกลับมาที่ต้นทาง
    name-connection
    เป็นการให้ชื่อกับ
    การเชื่อมต่อของเครือข่ายที่กำลังดำเนินอยู่
    pad
    เปิดการเชื่อมต่อ X.25
    ด้วย X.29 PAD
    Ping
    ใช้เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อ
    ppp
    ใช้เรียกการเชื่อมต่อแบบ
    PPP
    resume
    ใช้เพื่อการ
    กลับเข้าสู่การเชื่อมต่อของเครือข่ายอีกครั้งrloginเปิดการเชื่อมต่อ remote
    Login
    กับ Server ระยะไกล
    show
    แสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำงานของ
    Router
    ในปัจจุบัน
    slip
    เริ่มการใช้งาน Slip (serial line protocol)
    systat
    เป็นการแสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Terminal Line เช่นสถานะของระบบ
    telnet
    เป็นการเปิด การเชื่อมต่อทาง Telnet
    terminal
    เป็นการจัด
    Parameter ของ
    Terminal Line
    traceroute
    เป็นการใช้ Traceroute
    เพื่อการติดตามไปดู
    ระบบที่อยู่ปลายทางtunnelเปิดการเชื่อมต่อแบบ Tunnel
    where
    แสดงรายการ ของ
    Link ที่กำลัง Active ในปัจจุบัน


    3. Command prompt ในโหมดต่างๆ
    ตอบ
    Command Mode
    Command Mode หลักภายใน
    Cisco IOS ได้แก่
    User Exec Mode
    Privileged Exec Mode
    Global
    Configuration Mode
    Interface
    ConfigurationBoot Mode

    4. Use exec mode
    พร้อมรายละเอียด

    ตอบ

    Command Mode หลักภายใน Cisco IOS
    ได้แก่

    User Exec Mode

    Privileged Exec Mode

    Global Configuration Mode

    Interface ConfigurationBoot
    Mode

    User Exec ModeUser Exec Mode
    เป็นโหมดแรกที่ท่านจะต้อง Enter เข้าไป เมื่อ

    Router เริ่มทำงาน วิธีที่จะรู้ว่าท่านได้เข้าสู่
    User Exec Mode จาก Prompt ของ Router ได้แก่ Prompt ที่แสดงบนหน้าจอ ได้แก่
    ชื่อของ Router แล้วตามด้วยเครื่องหมาย > เช่น

    Routerhostname >

    ต่อไปนี้ เป็นตารางแสดงรายการคำสั่ง ภายใต้ User
    Exec Commands

    ตารางที่ 1แสดงรายการคำสั่ง ภายใต้ User Exec
    Commandsคำสั่ง

    access-enable

    เป็นการสร้าง Access List entry
    ชั่วคราว

    clear

    เป็นการ reset ค่า configure
    ต่างๆที่ท่านสร้างขึ้นชั่วคราว

    connect

    ใช้เพื่อ เปิด connection กับ
    terminal

    disable

    ปิดหรือยกเลิกคำสั่งที่อยู่ใน Privileged
    mode

    disconnect

    ยกเลิกการเชื่อมต่อใดๆกับ
    network

    enable

    เข้าสู่ privileged Exec mode

    exit

    ออกจากการใช้ User Exec mode

    help

    ใช้เพื่อแสดงรายการ help

    lat

    เปิดการเชื่อมต่อกับ LAT (เครือข่าย
    VAX)

    lock

    ใช้เพื่อ lock terminal

    login

    loginเข้ามาเป็น user

    logout

    exit ออกจาก EXEC

    mrinfo

    ใช้เพื่อการร้องขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Version
    และสถานะของ Router เพื่อนบ้านจาก multicast router ตัวหนึ่ง

    mstat

    แสดงสถิติหลังจากที่ได้ตามรอยเส้นทางแบบ
    Multicast ของ Router แล้ว

    mtrace

    ใช้ติดตามดู เส้นทาง Multicast แบบย้อนกลับจาก
    ปลายทางย้อนกลับมาที่ต้นทาง

    name-connection

    เป็นการให้ชื่อกับ
    การเชื่อมต่อของเครือข่ายที่กำลังดำเนินอยู่

    pad

    เปิดการเชื่อมต่อ X.25 ด้วย X.29
    PAD

    Ping

    ใช้เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อ

    ppp

    ใช้เรียกการเชื่อมต่อแบบ PPP

    resume

    ใช้เพื่อการ
    กลับเข้าสู่การเชื่อมต่อของเครือข่ายอีกครั้ง

    rlogin

    เปิดการเชื่อมต่อ remote Login กับ Server
    ระยะไกล

    show

    แสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำงานของ Router
    ในปัจจุบัน

    slip

    เริ่มการใช้งาน Slip (serial line
    protocol)

    systat

    เป็นการแสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Terminal Line
    เช่นสถานะของระบบ

    telnet

    เป็นการเปิด การเชื่อมต่อทาง
    Telnet

    terminal

    เป็นการจัด Parameter ของ Terminal
    Line

    traceroute

    เป็นการใช้ Traceroute เพื่อการติดตามไปดู
    ระบบที่อยู่ปลายทางtunnelเปิดการเชื่อมต่อแบบ Tunnel

    where

    แสดงรายการ ของ Link ที่กำลัง Active
    ในปัจจุบัน

    5.คำสั่งที่ใช้ตรวจสอบสถานะของRout
    จงบอกอย่างน้อย 5 คำสั่ง

    ตอบ

    access-enable

    เป็นการสร้าง Access List entry
    ชั่วคราว

    clear

    เป็นการ reset ค่า configure
    ต่างๆที่ท่านสร้างขึ้นชั่วคราว

    connect

    ใช้เพื่อ เปิด connection กับ
    terminal

    disable

    ปิดหรือยกเลิกคำสั่งที่อยู่ใน Privileged
    mode

    disconnect

    ยกเลิกการเชื่อมต่อใดๆกับ
    network

    enable

    เข้าสู่ privileged Exec mode

    exit

    ออกจากการใช้ User Exec mode

    help

    ใช้เพื่อแสดงรายการ help

    lat

    เปิดการเชื่อมต่อกับ LAT (เครือข่าย
    VAX)

    lock

    ใช้เพื่อ lock terminal

    login

    loginเข้ามาเป็น user

    logout

    exit

    ออกจาก EXEC

    mrinfo

    ใช้เพื่อการร้องขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Version
    และสถานะของ Router เพื่อนบ้านจาก multicast router ตัวหนึ่ง

    mstat

    แสดงสถิติหลังจากที่ได้ตามรอยเส้นทางแบบ
    Multicast ของ Router แล้วmtraceใช้ติดตามดู เส้นทาง Multicast แบบย้อนกลับจาก
    ปลายทางย้อนกลับมาที่ต้นทาง

    name-connection

    เป็นการให้ชื่อกับ
    การเชื่อมต่อของเครือข่ายที่กำลังดำเนินอยู่

    pad

    เปิดการเชื่อมต่อ X.25 ด้วย X.29
    PADPingใช้เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อ

    ppp

    ใช้เรียกการเชื่อมต่อแบบ PPP

    resume

    ใช้เพื่อการ
    กลับเข้าสู่การเชื่อมต่อของเครือข่ายอีกครั้ง

    rlogin

    เปิดการเชื่อมต่อ remote Login กับ Server
    ระยะไกล

    show

    แสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำงานของ Router
    ในปัจจุบัน

    slip

    เริ่มการใช้งาน Slip (serial line
    protocol)

    systat

    เป็นการแสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Terminal Line
    เช่นสถานะของระบบ

    telnet

    เป็นการเปิด การเชื่อมต่อทาง
    Telnetterminalเป็นการจัด Parameter ของ Terminal Line

    traceroute

    เป็นการใช้ Traceroute เพื่อการติดตามไปดู
    ระบบที่อยู่ปลายทางtunnelเปิดการเชื่อมต่อแบบ Tunnel

    where

    แสดงรายการ ของ Link ที่กำลัง Active
    ในปัจจุบัน

    6. การเลือกเส้นทางแบบ Static
    คืออะไร

    ตอบ การเลือกเส้นทางแบบ Static นี้
    การกำหนดเส้นทางการคำนวณเส้นทางทั้งหมด กระทำโดยผู้บริหาจัดการเครือข่าย
    ค่าที่ถูกป้อนเข้าไปในตารางเลือกเส้นทางนี้มีค่าที่ตายตัว
    ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใดๆ บนเครือข่าย จะต้องให้ผู้บริหารจัดการดูแล
    เครือข่า เข้ามาจัดการทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีการใช้ วิธีการทาง Static เช่นนี้
    มีประโยชน์เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมดังนี้

    -เหมาะสำหรับเครือข่ายที่มีขนาดเล็ก

    -เพื่อผลแห่งการรักษาความปลอดภัยข้อมูล
    เนื่องจากสามารถแน่ใจว่า ข้อมูลข่าวสารจะต้องวิ่งไปบนเส้นทางที่กำหนดไว้ให้
    ตายตัว-ไม่ต้องใช้ Software เลือกเส้นทางใดๆทั้งสิ้น

    -ช่วยประหยัดการใช้ แบนวิดท์ของเครือข่ายลงได้มาก
    เนื่องจากไม่มีปัญหาการ Broadcast หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง Router
    ที่มาจากการใช้โปรโตคอลเลือกเส้นทาง

    การจัดตั้ง Configuration
    สำหรับการเลือกเส้นทางแบบ Staticเป็นที่ทราบดีแล้วว่า การเลือกเส้นทางแบบ
    Static
    เป็นลักษณะการเลือกเส้นทางที่ถูกกำหนดโดยผู้จัดการเครือข่าย
    เพื่อกำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่ตายตัว หรือเจาะจงเส้นทางปกติ Router
    สามารถ Forward Packet ไปข้างหน้า บนเส้นทางที่มันรู้จักเท่านั้น
    ดังนั้นการกำหนดเส้นทางเดินของแพ็กเก็ตให้กับ Router
    จึงควรให้ความระมัดระวังวิธีการจัด Configure แบบ Static Route ให้กับ Router
    Cisco
    ให้ใส่คำสั่ง

    ip route ลงไปที่ Global Configuration
    Mode มีตัวอย่างการใช้คำสั่ง ดังนี้ip route network [ mask ] {address
    interface}
    [distance] [permanent]

    -Network เครือข่าย หรือ Subnet
    ปลายทาง

    -Mask หมายถึงค่า Subnet mask-Address IP Address
    ของ Router ใน Hop ต่อไป

    -Interface ชื่อของ Interface
    ที่ใช้เพื่อเข้าถึงที่หมายปลายทาง

    -Distance หมายถึง Administrative
    Distance

    -Permanent เป็น Option ถูกใช้เพื่อกำหนด
    เส้นทางที่ตั้งใจว่าจะไม่มีวันถอดถอนทิ้ง ถึงแม้ว่า จะปิดการใช้งาน Interface
    ก็ตาม

    7. การเลือกเส้นทางแบบ Dynamicคืออะไรตอบ dynamic
    คือ

    ตอบ : ประเภทของโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ
    Dynamicโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ Dynamic มีอยู่ หลายรูปแบบ
    ดังนี้

    Exterior Gateway Routing
    Protocol

    Distance Vector Routing
    Protocol

    Link State Routing Protocol

    เนื่องจาก จุดประสงค์ของการเขียนบทความนี้
    ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านมีแนวคิดในการจัดตั้งเครือข่ายและอุปกรณ์ Router
    เพื่อเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย และเนื่องจากขอบข่ายของหลักวิชาการด้านนี้
    ค่อนข้างกว้าง จึงขอตีกรอบให้แคบลง
    โดยจะขอกล่าวถึงรายละเอียดเพียงบางส่วนในการจัดตั้ง Router
    ที่ท่านสามารถนำไปใช้ได้
    รู้จักกับ Distance Vector Routing Protocol Distance
    Vector
    เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางที่ Router ใช้เพื่อการสร้างตาราง Routing
    และจัดการนำแพ็กเก็ต ส่งออก ไปยังเส้นทางที่กำหนด โดย
    อาศัยข้อมูลเกี่ยวกับระยะทาง
    เช่น Hop เป็นตัวกำหนดว่า
    เส้นทางใดเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด
    ที่จะนำแพ็กเก็ตส่งออกไปที่ปลายทาง โดยถือว่า
    ระยะทางที่ใกล้ที่สุด
    เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด และแอดเดรส
    ของเครือข่ายปลายทางเป็น VectorDistance Vector
    บางครั้งจะถูกเรียกว่า
    "Bellman-Ford Algorithm" ซึ่งโปรโตคอลนี้ จะทำให้ Router
    แต่ละตัว
    ที่อยู่บนเครือข่ายจะต้องเรียนรู้ลักษณะของ Network Topology
    โดยการแลกเปลี่ยน
    Routing Information ของตัวมันเอง กับ Router
    ที่เชื่อมต่อกันเป็นเพื่อนบ้าน
    โดยตัว Router
    เองจะต้องทำการจัดสร้างตารางการเลือกเส้นทางขึ้นมา โดยเอาข้อมูล
    ข่าวสารที่ได้รับจากเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรง (
    ข้อมูลนี้ครอบคลุมไปถึงระยะทางระหว่าง Router
    ที่เชื่อมต่อกัน)หลักการทำงานได้แก่การที่ Router จะส่งชุด สำเนาที่เป็น
    Routing
    Information ชนิดเต็มขั้นของมันไปยัง Router ตัวอื่นๆ
    ที่เชื่อมต่ออยู่กับมันโดยตรง
    ด้วยการแลกเปลี่ยน Routing Information กับ
    Router ตัวอื่นๆ
    ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงนี้เอง ทำให้ Router แต่ละตัว
    จะรู้จักซึ่งกันและกัน
    หรือรู้เขารู้เรา กระบวนการแลกเปลี่ยนนี้
    จะดำเนินต่อไปเป็นห้วงๆ
    ของเวลาที่แน่นอน

    Distance Vector Algorithm
    ค่อนข้างเป็นแบบที่เรียบง่าย อีกทั้งออกแบบเครือข่ายได้ง่ายเช่นกัน
    ปัญหาหลักของของ
    Distance Vector Algorithm ได้แก่ การคำนวณเส้นทาง
    จะซับซ้อนขึ้น
    เมื่อขนาดของเครือข่ายโตขึ้น

    ตัวอย่างของโปรโตคอลที่ทำงานภายใต้ Distance
    Vector Algorithm ได้แก่ อาร์ไอพี (RIP) หรือ Routing Information ProtocolLink
    State RoutingLink State Routing ถูกเรียกว่า "Shortest Path First (SPF)"
    Algorithm ด้วย Link State Routing นี้ Router แต่ละตัวจะทำการ Broadcast
    ข้อมูลข่าวสารออกมายัง Router ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงแบบเป็นระยะๆ
    ข้อมูลข่าวสารนี้ยังครอบคลุมไป
    ถึงสถานะของการเชื่อมต่อระหว่างกัน

    ด้วยวิธีการของ Link State นี้ Router
    แต่ละตัวจะทำการสร้างผังที่สมบูรณ์ของเครือข่ายขึ้น จากข้อมูลที่มันได้รับจาก
    Router อื่นๆทั้งหมด จากนั้นจะนำมาทำการคำนวณเส้นทางจากผังนี้โดยใช้ Algorithm
    ที่เรียกว่า Dijkstra Shortest Path AlgorithmRouter
    จะเฝ้าตรวจสอบดูสถานะของการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่อง
    โดยการแลกเปลี่ยนระหว่างแพ็กเก็ตกับ Router เพื่อนบ้าน แต่หาก Router
    ไม่ตอบสนองต่อความพยายามที่จะติดต่อด้วย หลายๆครั้ง
    การเชื่อมต่อก็จะถือว่าตัดขาดลง
    แต่ถ้าหากสถานะ ของ Router
    หรือการเชื่อมต่อเกิดการเปลี่ยนแปลง
    ข้อมูลข่าวสารนี้จะถูก Broadcast ไปยัง
    Router
    ทั้งหมดที่อยู่ในเครือข่าย

    การจัดตั้ง Configure ให้กับวิธี
    การจัดเลือกเส้นทางแบบ Dynamicในการจัดตั้งค่าสำหรับการเลือกเส้นทาง (Routing)
    แบบ
    Dynamic จะมี 2 คำสั่งสำหรับการใช้งาน ได้แก่ คำสั่ง Router และ Network
    โดยคำสั่ง
    Router เป็นคำสั่งที่ทำให้เริ่มต้นการเกิดกระบวนการเลือกเส้นทางขึ้น

    Router (config)#router protocol
    [keyword]

    ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายรายละเอียดของรูปแบบคำสั่ง

    Protocol เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบใดแบบหนึ่ง
    ระหว่าง RIP

    IGRP OSPF หรือ Enhanced IGRP

    Keyword ตัวอย่าง เช่น เลขหมายของ Autonomous
    ซึ่งจะถูกนำมาใช้กับโปรโตคอลที่ต้องการระบบ Autonomous ได้แก่ โปรโตคอล
    IGRPคำสั่ง
    Network ก็เป็นคำสั่งที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานเช่นกัน
    เนื่องจากมันสามารถกำหนดว่า Interface ใดที่จะเกี่ยวข้องกับการรับหรือส่ง
    Packet
    เพื่อการ Update ตารางเลือกเส้นทาง
    ขณะเกิดกระบวนการเลือกเส้นทางขึ้นคำสั่ง Network
    จะเป็นคำสั่งที่ทำให้
    โปรโตคอลเลือกเส้นทางเริ่มต้นทำงานบน Interface ต่างๆ ของ
    Router
    อีกทั้งยังทำให้ Router สามารถโฆษณาประชาสัมพันธ์เครือข่ายที่ตนดูแลอยู่
    ได้อีกด้วย

    รูปแบบของคำสั่งมีดังนี้

    Router (config-router)#network network-
    numberNetwork-number

    ในที่นี้หมายถึง
    เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันโดยตรง และ

    Network Number จะต้องอยู่ในมาตรฐาน
    เลขหมาย ของ INTERNIC

    8. Protocal ที่เลือกเส้นทางแบบ dynamic
    มีอะไรบ้าง

    ตอบ โปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ Dynamic มีอยู่
    หลายรูปแบบ ดังนี้

    1. Interior Gateway Routing
    Protocol

    2.Exterior Gateway Routing
    Protocol

    3. Distance Vector Routing
    Protocol

    4. Link State Routing
    Protocol

    Interior เป็น Protocol
    ที่ใช้แลกเปลี่ยนฐานความรู้ระหว่าง Roter ภายในองค์กรเดียวกัน ซึ่งได้แก่ RIP ,
    IGRP ,EIGRP และ OSPF Exterior เป็น Protocol
    ที่ใช้แลกเปลี่ยนฐานความรู้ต่างองค์กรกันหรือความน่าเชื่อถือต่างกัน ซึ่งได้แก่
    BGP, EGP Distance Vector เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางที่ Router
    ใช้เพื่อการสร้างตาราง Routing และจัดการนำแพ็กเก็ตส่งออกไปยังเส้นทางที่กำหนด
    โดย
    อาศัยข้อมูลเกี่ยวกับระยะทาง เช่น Hop เป็นตัวกำหนดว่า
    เส้นทางใดเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ที่จะนำแพ็กเก็ตส่งออกไปที่ปลายทาง โดยถือว่า
    ระยะทางที่ใกล้ที่สุด เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด และแอดเดรส
    ของเครือข่ายปลายทางเป็น
    VectorLink State Routing ถูกเรียกว่า "Shortest Path
    First (SPF)" Algorithm ด้วย
    Link State Routing นี้ Router แต่ละตัวจะทำการ
    Broadcast ข้อมูลข่าวสารออกมายัง
    Router ที่เชื่อมต่อกับมันโดยตรงแบบเป็นระยะๆ
    ข้อมูลข่าวสารนี้ยังครอบคลุมไปถึงสถานะของการเชื่อมต่อระหว่างกันRouting
    Protocols
    (เส้นทางการเชื่อมต่อ)

    Exterior routing Protocol (EGP) เป็นโปรโตคอล
    สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของ router ระหว่าง 2 เครือข่ายของ gateway host
    ในระบบเครือข่ายแบบอัตโนมัติ ซึ่ง EGP มีการใช้โดยทั่วไป ระหว่าง host
    บนอินเตอร์เน็ต เพื่อแลกเปลี่ยนสารสนเทศของตาราง routing โดยตาราง routing
    ประกอบด้วยรายการ router ตำแหน่งที่ตั้ง และเมทริกของค่าใช้จ่ายของแต่ละ router
    เพื่อทำให้สามารถเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด กลุ่มของ router
    แต่ละกลุ่มจะใช้เวลาภายใน
    120 วินาที ถึง 480 วินาที ในการส่งข้อมูลส่งตาราง
    routing
    ทั้งหมดไปยังเครือข่ายอื่น ซึ่ง EGP -2 เป็นเวอร์ชันล่าสุดของ EGP
    Border Gateway
    Protocol (BGP)
    เป็นโปรโตคอลสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของเส้นทางระหว่าง gateway
    host
    (ซึ่งแต่ละที่จะมี router ของตัวเอง) ในเครือข่ายแบบอัตโนมัติ BGP
    มักจะได้รับการใช้ระหว่าง gateway host บนระบบอินเตอร์เน็ต ตาราง routing
    ประกอบด้วยรายการของ router ตำแหน่งและตารางค่าใช้จ่าย (cost metric)
    ของเส้นทางไปยังrouterแต่ละตัวเพื่อการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด host
    ที่ใช้การติดต่อด้วย

    ประเภทของ Routing ภายใน Network
    ที่เชื่อมต่อกับเนตเวิคโดยตรงRouting Information Protocol (RIP)
    เป็นโปรโตคอลที่ใช้อย่างกว้างขวาง สำหรับการจัดการสารสนเทศของ router
    ภายในเครือข่าย เช่น เครือข่าย LAN ของบริษัท หรือการติดต่อภายในกลุ่ม
    ของเครือข่าย
    RIP ได้รับการจัดชั้นโดย Internet Engineering Task Force (IETF)
    ให้เป็นหนึ่งในโปรโตคอลของInternet Gateway Protocol (หรือ
    InteriorGatewayProtocol)

    Open Shortest Path First (OSPF) ถือเป็น
    เร้าติ้งโปรโตคอล (Routing Protocol)
    ตัวหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในระบบเน็ตเวิร์ก
    เนื่องจากมีจุดเด่นในหลายด้าน เช่น การที่ตัวมันเป็น Routing Protocol แบบ Link
    State, การที่มีอัลกอรึทึมในการค้นหาเส้นทางด้วยตัวเอง ซึ่งเปรียบเสมือนว่า
    ตัวของ
    เราเตอร์ที่รัน OSPF ทุกตัวเป็นรูท (Root) หรือ
    จุดเริ่มต้นของระบบไปยังกิ่งย่อยๆ
    หรือโหนด (Node) ต่างๆ
    ซึ่งเป็นเทคนิคในการลดเส้นทางที่วนลูป (Routing Loop) ของการ
    Routing
    ได้เป็นอย่างดี

    Enhance Interior Gateway Routing Protocol
    (EIGRP) นั้นถือได้ว่าเป็น
    เราติ้งโปรโตคอลที่มีความรวดเร็วสูงสุดของซิสโก้ในการค้นหาเส้นทางภายใน
    Intra-AS
    (Interior Routing Protocol: เราติ้งโปรโตคอลภายใน Autonomous System)
    ซึ่ง
    ในเราติ้งโปรโตคอลแบบ EIGRP นี้ จะเป็นการนำเอาข้อดีของการเราติ้งแบบ
    Distance
    Vector และ Link State มาผสมผสานกัน (ในหนังสือบางเล่มจะเรียก
    เราติ้งโปรโตคอลแบบนี้ว่า “Hybrid” (ลูกผสม) หรือ Advanced Distance
    Vector)

    9. อธิบาย Protocal Distance Vector
    ให้เข้าใจ

    ตอบ ลักษณะที่สำคัญของการติดต่อแบบ
    Distance-vector คือ ในแต่ละ Router จะมีข้อมูล routing table
    เอาไว้พิจารณาเส้นทางการส่งข้อมูล
    โดยพิจารณาจากระยะทางที่ข้อมูลจะไปถึงปลายทางเป็นหลัก จากรูป Router A
    จะทราบว่าถ้าต้องการส่งข้อมูลข้ามเครือข่ายไปยังเครื่องที่อยู่ใน Network B
    แล้วนั้น ข้อมูลจะข้าม Router ไป 1 ครั้ง หรือเรียกว่า 1 hop
    ในขณะที่ส่งข้อมูลไปยังเครื่องใน Network C ข้อมูลจะต้องข้ามเครือข่ายผ่าน
    Router A
    ไปยัง Router B เสียก่อน ทำให้การเดินทางของข้อมูลผ่านเป็น 2 hop
    อย่างไรก็ตามที่
    Router B จะมองเห็น Network B และ Network C
    อยู่ห่างออกไปโดยการส่งข้อมูล 1 hop
    และ Network A เป็น2 hop ดังนั้น Router A
    และ Router B
    จะมองเห็นภาพของเครือข่ายที่เชื่อมต่ออยู่แตกต่างกันเป็นตารางข้อมูล routing
    table
    ของตนเอง จากรูปการส่งข้อมูลตามลักษณะของ Distance-vector routing
    protocol
    จะเลือกหาเส้นทางที่ดีที่สุดและมีการคำนวณตาม routing algorithm
    เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา ซึ่งมักจะเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดและมีจำนวน hop
    น้อยกว่า
    โดยอุปกรณ์ Router ที่เชื่อมต่อกันมักจะมีการปรับปรุงข้อมูลใน routing
    table
    อยู่เป็นระยะๆ ด้วยการ Broadcast ข้อมูลทั้งหมดใน routing table
    ไปในเครือข่ายตามระยะเวลาที่ตั้งเอาไว้การใช้งานแบบ Distance-vector
    เหมาะกับเครือข่ายที่มีขนาดไม่ใหญ่มากและมีการเชื่อมต่อที่ไม่ซับซ้อนเกินไป
    ตัวอย่างโปรโตคอลที่ทำงานเป็นแบบ Distance-vector ได้แก่ โปรโตคอล RIP (Routing
    Information Protocol) และโปรโตคอล IGRP (Interior Gateway Routing Protocol)
    เป็นต้น

    10. Protocol BGP
    คืออะไรมีหลักการทำงานอย่างไร

    ตอบ Border Gateway Protocol (BGP)
    เป็นโปรโตคอลสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของเส้นทางระหว่าง gateway host
    (ซึ่งแต่ละที่จะมี router ของตัวเอง) ในเครือข่ายแบบอัตโนมัติ BGP
    มักจะได้รับการใช้ระหว่าง gateway host บนระบบอินเตอร์เน็ต ตาราง routing
    ประกอบด้วยรายการของ router ตำแหน่งและตารางค่าใช้จ่าย (cost metric)
    ของเส้นทางไปยัง router แต่ละตัว เพื่อการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด host
    ที่ใช้การติดต่อด้วย BGP จะใช้ Transmission Control Protocol (TCP)
    และส่งข้อมูลที่ปรับปรุงแล้วของตาราง router เฉพาะ host
    ที่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลง
    จึงมีผลเฉพาะส่วนของตาราง router ที่ส่ง BGP-4
    เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    ซึ่งให้ผู้บริหารระบบทำการคอนฟิก cost metric ตามนโยบาย
    การติดต่อด้วย BGP ของระบบ
    แบบอัตโนมัติที่ใช้ Internet BGP (IBGP)
    จะทำงานได้ไม่ดีกับ IGP เนื่องจาก router
    ภายในระบบอัตโนมัติต้องใช้ตาราง
    routing 2 ตาราง คือ ตารางของ IGP (Internet
    gateway protocol) และตารางของ
    IBGP BGP เป็นโปรโตคอลที่ทันสมัยกว่า Exterior
    Gateway
    Protocol

    11. สายใยแก้วนำแสงมีกี่ชนิด

    ตอบ ชนิดคือไฟเบอร์ออฟติค

    12.
    สัญญาณแก้วใยแก้วนำแสงต่างๆ

    ตอบ อนาล็อกกับดิจิตอล

    13.
    จงบอกข้อดีของเส้นใยแก้วนำแสง

    ตอบ 1. มีน้ำหนักเบาและไม่เป็นสนิม
    ซึ่งเหมาะมากสำหรับใช้งานในยานอวกาศ และรถยนต์

    2. เส้นใยแสง 1 เส้น
    สามารถที่จะมีช่องสัญญาณเสียงได้มากเท่ากับ 1500 คู่สาย

    3.
    ความห่างของตัวขยายสัญญาณสำหรับเส้นใยแสงมีค่าตั้งแต่ 35 ถึง 80 กิโลเมตร
    ซึ่งตรงข้ามกับสายธรรมดา ซึ่งมีค่าตั้งแต่ 1 ถึงแค่ 1.5 กิโลเมตรเท่านั้น4.
    เส้นใยแสงจะไม่มีการรบกวนจากฟ้าแลบ
    และการแผ่รังสีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

    14. ขนาดของ core และ cladding
    ในเส้นใยแก้วนำแสงแต่ละชนิด

    ตอบ แท่งควอร์ต ซึ่งผ่านกระบวนการ Modefied
    Chemical Vapor Deposition (MCVD) แล้วจะถูกวางในแนวตั้งในหอดึง (Drawing
    Tower)
    ซึ่งจะถูกให้ความร้อนต่ออีก (2200 F) และถูกดึงลงด้านล่าง
    โดยหลักการของการหลอมเหลวควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และขบวนการการดึง
    เพื่อจะทำให้เส้นใยแสงคุณภาพสูง มีความยาวประมาณ 6.25 กิโลเมตร
    และเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 125 ไมโครเมตร ศูนย์กลางซึ่งถูกเรียกว่า แกน หรือ
    CORE
    (เส้นผ่าศูนย์กลาง 8 ไมโครเมตร)
    จะถูกล้อมรอบด้วยควอร์ตที่บริสุทธิ์น้อยกว่า
    ซึ่งถูกเรียกว่า ชั้นคลุม หรือ
    cladding (ขอบเขตประมาณ 117
    ไมโครเมตร

    15. การเชื่อมต่อดดยวิธีการหลอมรวม
    ทำได้โดยวิธีใด

    ตอบ การเชื่อมต่อแบบหลอมรวม เป็นการเชื่อมต่อ
    Fiber Optic สองเส้นเข้าด้วยกัน โดยการให้ความร้อนที่ปลายของเส้น Fiber Optic
    จากนั้นปลายเส้น Fiber Optic จะถูกดันออกมาเชื่อมต่อกัน
    การเชื่อมต่อกันในลักษณะนี้
    เป็นการเชื่อมต่อโดยถาวร
    จนทำให้ดูเหมือนรวมเป็นเส้นเดียวกัน
    การสูญเสียจากการเชื่อมต่อในลักษณะนี้
    จะทำให้มีความสูญเสีย ประมาณ 0.01 - 0.2 dB
    ในขั้นตอนการเชื่อมต่อนี้
    ความร้อนที่ทำให้ปลายเส้น Fiber Optic
    อ่อนตัวลงด้วยประกายไฟที่เกิดจากการ Arc
    ระหว่างขั้ว Electrode ขณะทำการ หลอมรวม
    ซึ่งจะยังผลให้การเชื่อมต่อของ Fiber
    Optic เป็นเนื้อเดียวกัน

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

1. ข้อใดคือหน้าที่ของเร้าเตอร์

ก.เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อเครือข่ายหลายๆกลุ่มเข้าด้วยกัน

ข.เป็นการรับข้อมูล

ค.เป็นการส่งข้อมูล

ง. ถูกทุกข้อ

เฉลย ก.

2. ข้อใดคือการรับข้อมูลของเร้าเตอร์

ก.รับแบบแม็สเสด

ข.รับแบบแพ็กเกต

ค.รับแบบเซอร์วิตช์

ง. รับได้ทุกแบบ

เฉลย ข.

3..สัญญาณทางอิเล็กทรกนิกส์มีกี่ชนิด ?

ก. 2 ชนิด

ข. 3 ชนิด

ค. 4 ชนิด

ง. 5 ชนิด

ฉลย ก.

4.อุปกรณ์ข้อใดทำหน้าแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นอะนาลอกและแปลงกลับ ?

ก. ลำโพง

ข. ซาวด์การ์ด

ค. แลนด์การ์ด

. โมเด็ม

เฉลย ง.

5.สัญญาณแบบอนาลอก ข้อใดถูกต้อง ?

ก. สัญญาณวิทยุ

ข. สัญญาณโทรทัศน์

ค. เสียงในโทรศัพท์

ง. สัญญาณในคอมพิวเตอร์

เฉลย ค.

6.ข้อใดเป็นสัญญาณที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ ?

ก. สัญญาณดาวเทียม

ข. สัญญาณไมโครเวฟ

ค. สัญญาณอะนาลอก

ง. สัญญาณดิจิตอล

เฉลย ง.

7.ข้อใดหมายถึงอุปกรณ์เชื่อมต่อ "เราท์เตอร์(Router)?

ก. อุปกรณ์เชื่อมต่อหลายเครือข่าย

ข. เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายที่ต่างกัน

ค. อุปกรณ์เชื่อมต่อที่มีการขยายสัญญาณ

ง. อุปกรณ์เชื่อมต่อที่ไม่มีการขยายสัญญาณ

เฉลย ง.

8.อุปกรณ์ในการเชื่อมต่อ HUB คือ ?

ก. อุปกรณ์เชื่อมต่อหลายเครือข่าย

ข. เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายที่ต่างกัน

ค. อุปกรณ์เชื่อมต่อที่มีการขยายสัญญาณ

ง. อุปกรณ์เชื่อมต่อที่ไม่มีการขยายสัญญาณ

เฉลย ง.

9.ข้อใดเป็นการสือสารข้อมูลแบบ บรอดแบนด์ (Broadband)?

ก. เป็นสัญญาณที่วิ่งได้แบบไร้สาย

ข. มีสัญญาณ 2 สัญญาณวิ่งได้บนสายเดียวกัน

ค. มีหลายสัญญาณวิ่งอยู่บนสายได้พร้อมกัน

ง. มีสัญญาณ 1 สัญญาณวิ่งได้บนสาย

เฉลย ค.

10.เร้าเตอร์จะทำงานในแบบจำลอง osi กี่ลำดับ

ก.1ข.2ค.3ง.4

เฉลย ค.
แนวข้อสอบอัตนัยเรื่องเร้าเตอร์

1.Router คืออะไร

ตอบ: Router เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลเข้ามาแล้วส่งต่อไปยังปลายทาง

2.หน้าที่หลักของ Router คืออะไร

ตอบ: การหาเส้นทางในการส่งผ่านข้อมูลที่ดีที่สุด และเป็นตัวกลางในการส่งต่อข้อมูลไปยังเครือข่ายอื่น ทั้งนี้ยังเชื่อมโยงเครือข่ายที่ใช้สื่อสัญญาณหลายแบบ เช่น Ethernet, Token Rink หรือ FDDI

3.Router เป็นตัวชี้ทางเชื่อมต่อระหว่างอะไร

ตอบ: ระหว่างระบบอินเตอร์เน็ตไปยัง ISP

4.ลักษณะการทำงานของการส่งข้อมูลมีลักษณะอย่างไรบ้าง

ตอบ: เป็นการส่งข้อมูลผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น สายโทรศัพท์ ไฟเบอร์ ใยแก้วนำแสงและดาวเทียม การส่งข้อมูลมีหลายชนิดและหลายรูปแบบ แต่ในปัจจุบันนี้การส่งข้อมูลในระบบ Internetworking หรือ Internet เห็นจะเป็นระบบที่ได้รับความนิยมมากกว่าระบบอื่น

5.ปรโยชน์ของ Router คือ

ตอบ: -เชื่อมต่อ LAN โดยใช้ Public Network (WAN)-แบ่ง Segment ในเครือข่ายใหญ่ๆ-ใช้ทำ Remote Access เช่น Internet-ลด Broadcast Traffic อันเนื่องจากการใช้ Bridge หรือ Switch

6.ข้อใดคือการรับข้อมูลของเร้าเตอร์

ตอบ รับแบบแพ็กเกต

7.ข้อใดคือหน้าที่ของเร้าเตอร์

ตอบ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อเครือข่ายหลายๆกลุ่มเข้าด้วยกัน

8.เร้าเตอร์จะทำงานอยู่ในสาลำดับคือ

ตอบ ลำดับชั้นฟิสิคัส.ลำดับชั้นดาต้าลิ้งก์.ลำดับชั้นเน็ตเวิร์ก

9.กลุ่มข้อมูลลำดับชั้นเน็กเวิร์กจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆเรียกว่า

ตอบ แพ็กเกต

10.เร้าเตอร์จะทำงานใน layar ที่เท่าไรตามมาตรฐานของ osi

ตอบ ที่3